เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1609 สามวิธี

บทที่ 1609 สามวิธี

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1609 สามวิธี

มิติช่องว่างจักรพรรดิ สวรรค์สีแดงน้อย

ร่างแยกบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวนดึงดูดความสนใจของอสูรปีจํานวนนับไม่ถ้วน

“โฮก…”

อสูรปีบรรพกาลและอสูรปีเดียวดายยืนเคียงข้ามกันและคํารามด้วยความดุร้าย

ครู่ต่อมาอสูรประกาแรกกําเนิดก็ปรากฏตัวขึ้นขณะที่อสูรปีบรรพกาลและอสูรปีเดียวดายเร่งเปิดทางให้มัน

อสูรปีระกาแรกกําเนิดมาถึงด้านหน้าร่างแยกบนเส้นทางแห่งกาลเวลาและก้มศีรษะลง

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มและลูบมงกุฏสีแดงสดบนศีรษะของอสูรประกาแรกกําเนิด จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อส่งวิญญาณประดับมนุษย์จํานวนมากออกไป

อสูรประกาแรกกําเนิดอ้าปากกว้างและดูดกลืนวิญญาณปีเกือบทั้งหมด เข้าไปในท้องของมันมีวิญญาณปีเพียงไม่กี่ดวงที่กระจายไปรอบๆ นั่นทําให้ฝูงอสูรปีเริ่มต่อสู้เพื่อ แย่งชิงพวกมัน

อสูรประกาแรกกําเนิดมีความสุขที่ได้รับอาหารแต่มันยังไม่พอใจ มันมองร่างแยกบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวนด้วยดวงตาส่องประกาย

ฟางหยวนสะบัดแขนเสื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก วิญญาณที่กระจัดกระจายออกไปราวกับสายฝน

ครั้งนี้มีวิญญาณปีเพียงพอสําหรับกองทัพอสูรปีทั้งหมด ดังนั้นพวกมันจึงเต็มไปด้วยความสุข

หลังจากไม่นานกองทัพอสูรปรวมถึงอสูรประกาแรกกําเนิดก็กินอาหารจนอิ่มและเริ่มทิ้งตัวลงนอนพักผ่อน

ร่างแยกบนเส้นทางแห่งกาลเวลากวาดตามองไปรอบๆ พยักหน้า และบินจากไป

สวรรค์สีแดงน้อยกลายเป็นที่อยู่ของกองทัพอสูรปี นี่เป็นกองทัพที่สามที่ฟางหยวนเลี้ยงไว้

ไม่นานมานี้ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะปีแห่งความตายเพื่อต่อต้านกลุ่มผู้อมตะภาคใต้อย่างไร้ปรานี นอกจากจับกุมพวกเขา การต่อสู้ที่ดุเดือดยังทําให้ฟางหยวนได้รับอสูรปีแรกกําเนิดมาถึงเจ็ดตัว

สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือมีอสูรประกาแรกกําเนิดสามตัว อีกสี่ตัวเป็นอสูรปีขาลแรกกําเนิด อสูรปีมะโรงแรกกําเนิด อสูรปีเถาะแรกกําเนิด และอสูรปีมะเมียแรกกําเนิด

ในสายธารแห่งกาลเวลา ทุกๆปีจะมีอสูรปีแรกกําเนิดบางชนิดถือกําเนิดขึ้นมากกว่าอสูรบีชนิดอื่น ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาของอสูรประกาแรกกําเนิด

อย่างไรก็ตามแม้ฟางหยวนจะมีอสูรปีแรกกําเนิดเจ็ดตัว แต่ความแข็งแกร่งของอสูรปีแรกกําเนิดแต่ละตัวไม่เท่ากัน อสูรปีแรกกําเนิดทั้งเจ็ดตัวอ่อนแอกว่าอสูรปีวอกแรกกําเนิด น่าเสียดายที่อสูรปีวอกแรกกําเนิดตายไปแล้วในสนามรบ

แน่นอนว่าหากอสูรปีแรกกําเนิดทั้งเจ็ดตัวรวมพลังกัน พวกมันจะดุร้ายกว่าอสูรปีวอกแรกกําเนิดเพียงตัวเดียว

มีความแตกต่างด้านพลังการต่อสู้ระหว่างอสูรปีแรกกําเนิดแต่ละชนิด สิ่งนี้แตกต่างจากผู้อมตะระดับแปด

ฟางหยวนให้อาหารอสูรเหล่านี้และคิด ค่าอาหารของอสูรปีเพิ่มขึ้นหลายเท่า หากไม่ใช่เพราะหินวิญญาณอมตะที่ข้าขูดรีดมาในครั้งนี้ ข้าคงไม่สามารถให้อาหารพวกมัน”

ยิ่งอสูรประดับสูงเท่าใด ความอยากอาหารของพวกมันก็ยิ่งมากเท่านั้น และอาหารของอสูรปีก็คือวิญญาณปี

ฟางหยวนต้องใช้วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ําสร้างวิญญาณประดับม นุษย์จํานวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความหิวโหยของอสูรปีเหล่านี้

การกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ําระดับแปดต้องใช้ลูกพลัมแดงอมตะของฟางหยวน

ค่าใช้จ่ายของฟางหยวนในการให้อาหารอสูรเหล่านี้ไม่ใช่เล็กน้อยโดยเฉพาะการคงอยู่ของอสูรปีแรกกําเนิดเจ็ดตัวที่เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟางหยวน

ตอนนี้ภูเขาตงอันฟื้นตัวขึ้นแปดสิบส่วนแล้ว มันสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้พอสมควร สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมากนัก ข้าเพียงต้องรออีกสักพักเท่านั้น”

“เมื่อภูเขาตงฮันฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ ภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าจะเหลือเพียงกองทัพอสูรปีเหล่านี้”

ฟางหยวนต้องให้อาหารอสูรปทุกช่วงเวลาหนึ่ง การสร้างวิญญาณปด้วยวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ําเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดแต่มันยังมีค่าใช้จ่ายมหาศาล

ฟางหยวนไม่สามารถละทิ้งกองทัพอสูรปีเหล่านี้เพราะเขาต้องเตรียมตัวรับมือการต่อสู้ในสายธารแห่งกาลเวลาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารให้กับพวกมัน

ในความเป็นจริงปัญหาไม่ได้มาจากกองทัพอสูรปีเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงฝูงอินทรีย์อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสะกดข่มอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดโดยพึ่งพาฝูงอินทรีย์จํานวนมาก การให้อาหารนกอินทรีย์เหล่านี้ก็เป็นภาระเช่นกัน

หากเขาต้องการให้พวกมันดูแลตัวเองในมิติช่องว่างจักรพรรดิ เขาต้องใช้เงินทุนมหา ศาลเพื่อสร้างห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์แบบ

ปลาใหญ่กินปลาเล็กและปลาเล็กกินกุ้ง

การสร้างห่วงโซ่อาหารที่เหมาะสมเป็นรูปแบบหนึ่งของการทําความเข้าใจสวรรค์พิภพ

แต่เปรียบเทียบกับฝูงอินทรีย์ จํานวนของฝูงอสูรที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ดังนั้นปัญหาของพวกมันจึงต้องได้รับการจัดการเป็นอันดับแรก

ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของอสูรปี การสร้างห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์แบบให้กับพวกมันจึงง่ายกว่า

ฟางหยวนมีมรดกที่แท้จริงมากมาย เขามีหลายวิธีที่สามารถจัดการปัญหานี้

ปัจจุบันเขาต้องเลือกหนึ่งในสามวิธี

วิธีแรกคือการสร้างสระแก่นแท้ปี

สระแก่นแท้ปีอาจถูกมองว่าสายธารแห่งกาลเวลาขนาดย่อม มันคือการจําลองสภาพ แวดล้อมของสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของอสูรปี

สระแก่นแท้ปีอาจใหญ่หรือเล็ก มันถูกแบ่งออกเป็นระดับหก ระดับเจ็ด และระดับแปด

ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยประหยัดพื้นที่ นอกจากนั้นเมื่ออสูรที่อาศัยอยู่ที่นี่ มันจะผลิตวิญญาณปีออกมาจํานวนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปมันจะให้กําเนิดวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาชนิดอื่นๆและกลายเป็นสายธารแห่งกาลเวลาขนาดย่อม

ข้อเสียของมันคือค่าใช้จ่ายที่สูงจนไร้เหตุผล เพียงการสร้างสระแก่นแท้ประดับหกก็ต้องใช้หินวิญญาณอมตะนับล้านก้อน

สระแก่นแท้ประดับเจ็ดยิ่งยากกว่า มันต้องการทรัพยากรอมตะจํานวนมาก สระแก่นแท้ประดับหกสามารถสร้างได้หากคนผู้หนึ่งมีความมั่งคั่งเพียงพอ แต่สระแก่นแท้ประดับเจ็ดไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างได้ด้วยหินวิญญาณอมตะเท่านั้น

สําหรับฟางหยวน เขาต้องสร้างสระแก่นแท้ประดับแปดเพื่อเป็นที่อยู่ของอสูรูปีแรกกํา เนิดทั้งเจ็ดตัว!

วิธีที่สองคือปีทองแห่งจันทร์

นี่คือคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเจ็ด มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนคฤหาสวิญญาณอมตะทั่วไป เมื่อมันถูกสร้างขึ้น มันจะกลายเป็นดวงจันทร์ที่สว่างไสวลอยอยู่บนท้องฟ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์

คฤหาสน์วิญญาณอมตะปีทองแห่งจันทร์สามารถเก็บอสูรปีจํานวนมากและทําให้พวกมันเข้าสู่การจําศีล ด้วยวิธีนี้ความอยากอาหารของพวกมันจะลดลงอย่างมาก

ข้อดีของวิธีนี้คือคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามารถดึงความแข็งแกร่งของอสูรปีเหล่านั้นออกมาใช้งานโดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานอมตะของฟางหยวน นี่หมายความว่าฟางหยวนจะสามารถใช้งานอสูรปีได้อย่างเต็มที่และไม่จําเป็นต้องให้อาหารพวกมัน

ข้อเสียของวิธีนี้ชัดเจนมาก

ประการแรก การสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเจ็ดต้องใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทาง แห่งกาลเวลาจํานวนมากแต่ฟางหยวนต้องการใช้วิญญาณอมตะเหล่านี้เพื่อป้องกันตัวเอง

ประการที่สอง คฤหาสน์วิญญาณอมตะปีทองแห่งจันทร์ไม่สามารถช่วยฟางหยวนต่อสู้ในสายธารแห่งกาลเวลา

ประการที่สาม คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้พึ่งพาความแข็งแกร่งของอสูรปี หากพลังงานของพวกมันถูกดึงออกมาตลอดเวลา พวกมันจะตายในที่สุด ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของพวกมันจะถูกใช้จ่าย ศพของพวกมันจะกลายเป็นไร้ค่า

ประการสุดท้าย เมื่ออสูรปิถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ความอยากอาหารของพวกมันจะมากกว่าปกติ

วิธีที่สามคือค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศี

ค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศีต้องใช้อสูรปีแรกกําเนิดสิบสองชนิดเป็นแกนกลาง

วิธีนี้สามารถใช้ในการต่อสู้ มันแตกต่างจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะปีทองแห่งจันทร์อย่างสิ้นเชิง แม้มันจะเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะขนาดใหญ่ แต่มันสามารถเคลื่อนย้าย

ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน อสูรปีแรกกําเนิดจะถูกผนึกและกลายเป็นรูปปั้น พวกมันจะไม่เคลื่อนไหวและไม่ต้องการอาหาร เมื่อเข้าสู่การต่อสู้พวกมันจะถูกปลดปล่อยและร่วมมือกันโจมตีศัตรู

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ไม่ใช่ค่ายกลวิญญาณอมตะของยุคปัจจุบัน ค่ายกลวิญญาณอมตะยุคปัจจุบันจะใช้วิญญาณอมตะเป็นแกนกลาง แต่ค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศีใช้อสูรปีแรกกําเนิดเป็นแกนกลาง

ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยประหยัดค่าอาหาร

แต่ข้อเสียของมันคือต้องใช้อสูรปีแรกกําเนิดเท่านั้น ฟางหยวนจะไม่สามารถสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศีหากเขาใช้อสูรปีเดียวดายหรืออสูรบีบรรพกาล

หากฟางหยวนต้องการร้างค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศี เขาต้องค้นหาอสูรปีแรกกําเนิดมากขึ้นและต้องเป็นอสูรปีแรกกําเนิดต่างชนิดกันอีกด้วย

งานรวบรวมอสูรปีแรกกําเนิดสิบสองชนิดนอกจากต้องพึ่งพาความแข็งแกร่ง มันยังต้องพึ่งพาโชค นี่เป็นงานที่ยากลําบากและต้องใช้เวลานาน

ฟางหยวนคิดอย่างถี่ถ้วนและตัดสินใจเลือกวิธีแรก

แม้วิธีแรกจะมีค่าใช้จ่ายมหาศาลแต่มันก็นํามาซึ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

“หากข้าต้องการสร้างสระแก่นแท้ประดับแปด สถานการณ์ทางการเงินของข้าจะตกอยู่ในสภาวะอันตรายก่อนที่ข้าจะสร้างมันได้ถึงสามสิบส่วน

ฟางหยวนมั่งคั่งมากแต่ทรัพยากรส่วนใหญ่ของเขาเช่นแม่น้ำหวนคืนไม่สามารถขายออก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องรับมือกับกองกําลังเช่นวังสวรรค์ เขาต้องพิจารณาทุกแง่มุมและไม่สามารถใช้จ่ายโดยไม่คํานึงถึงสิ่งใด

แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดสําหรับข้าที่จะสร้างสระแก่นแท้ปี”

“หากตระกูลเชี่ยต้องการเจรจากับข้า ก่อนอื่นส่งแสงเกลียวอรุณให้ข้าสามชุด” ฟางหยวนส่งวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งข้อมูลไปยังร้านค้าของตระกูลเซียอีกครั้ง

ในไม่ช้าคําตอบของตระกูลเชียก็มาถึง “ฟางหยวน ตระกูลของข้าสามารถผลิตแสง เกลียวอรุณ แต่แหล่งผลิตทรัพยากรชนิดนี้อยู่ในมิติช่องว่างของผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่ง มันไม่เหลืออยู่ในคลังสมบัติของตระกูล”

ฟางหยวนมึนงงเล็กน้อย คําตอบนี้เกินความคาดหมายของเขา แต่เขายังส่งข้อความตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ข้าจะไม่รู้เล่ห์กลของพวกเจ้าได้อย่างไร? ส่งแสง เกลียวอรุณให้ข้าสามชิ้น ไม่ส่งให้ข้าสิบชิ้นเพื่อแสดงความจริงใจของตระกูลเซี่ย มิฉะนั้น…”

“แต่แสงเกลียวอรุณหายากมาก มันไม่มีขายในสวรรค์สีเหลือง สามชิ้นยังพอหาได้ แต่สิบชิ้น เราไม่สามารถนํามันออกมา”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า” ฟางหยวนตอบกลับอย่างโหดร้าย

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท