เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1666 ช่วงชิง
ทะเลยามค่ําคืนปั่นป่วนด้วยคลื่นสมุทรที่ดุร้าย
ท่ามกลางทะเลสีดํา เสียงเพลงดังกังวานเคียงคู่เสียงพิณอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น
นักรบเงือกจํานวนมากสวมชุดเกราะโบราณที่ทํามาจากเปลือกหอยและถือโล่สีขาวขนาดใหญ่เอาไว้ในมือด้านหลังพวกเขา นางเงือกหลายคนกําลังเต้นรําและร้องเพลงอยู่รอบๆเชี่ยฮันโม่และตงเล่ย มนุษย์เงือกจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังเฝ้ามองการทดสอบสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น
เปลือกหอยขนาดใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้ํา นี่คือเวทีของการแข่งขัน
เปลือกหอยดังกล่าวถูกทิ้งไว้โดยหอยดนตรีแรกกําเนิด มันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งเสียง ผู้ใช้วิญญาณที่ยืนอยู่ภายในสามารถส่งเสียงของพวกเขาออกไปในวงกว้าง
ตงเล่ยเป็นคนแรกที่ขึ้นไปบนเปลือกหอยดนตรี
มนุษย์เงือกจํานวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนผิวน้ําและเฝ้ามองด้วยความสนใจ
จากมุมหนึ่ง บนคฤหาสน์วิญญาณที่เหมือนเรือ ปู่ซูเหลียนมองตงเล่ยและกล่าวกับผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็ง “เจ้ามั่นใจในตั้งตงเลยงั้นหรือ? คนที่เริ่มก่อนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยธรรมชาติ
ผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็งยิ้ม “รอดู ข้าไม่สามารถอธิบายเป็นคําพูด”
ปู่ชูเหลียนมองผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็งอย่างลึกซึ้งก่อนจะหันหน้าไปทางเปลือกหอยดนตรี
ตงเลยเริ่มร้องเพลง
เสียงของนางชัดเจนและหนักแน่น มนุษย์เงือกทั้งหมดมีความสุขกับบทเพลงของนาง
เปลือกหอยดนตรีขยายเสียงออกไปในรัศมีหนึ่งพันลี้ กระทั่งเสียงคลื่นอันเชี่ยวกรากยังถูกสะกดข่ม
มนุษย์เงือกถือกําเนิดขึ้นมาพร้อมกับความสามารถในการร้องเพลง เสียงของมนุษย์เงือกไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อ
ตามมาตรฐานของมนุษย์ มนุษย์เงือกทุกคนถือเป็นนักร้องโดยกําเนิด
ร่างกายของมนุษย์เงือกเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งวารี ในลําคอของมนุษย์เงือกยังมีกระดูกอ่อนที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งเสียง นี่คือลักษณะเด่นของเผ่ามนุษย์เงือก
ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ มนุษย์ออกล่ามนุษย์เงือกเพื่อกระดูกอ่อนที่อยู่ในลําคอของพวก เขาเนื่องจากมันเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งเสียงชั้นยอด
นางเงือกที่เข้าแข่งขันชิงตําแหน่งเทพธิดาเลือกมักมีความสามารถในการร้องเพลงที่เหนือกว่ามนุษย์เงือกส่วนใหญ่
มนุษย์ที่อาศัยอยู่ใกล้ทะเลมักได้ยินข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับเสียงร้องเพลงของนางเงือกที่ทําให้พวกเขาลืมเวลา สูญเสียการรับรู้ทิศทาง และอื่นๆ นั่นทําให้เรือของพวกเขามักชนกับโขดหินอยู่เสมอ
นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง แต่มันคือเรื่องจริง
การร้องเพลงของตงเล่ยยอดเยี่ยมมาก คนส่วนใหญ่มีความสุขกับบทเพลงของนาง มีเพียงฟางหยวนและกลุ่มของเขาที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ กระทั่งเชี่ยฮันโม่ที่เยือกเย็นเสมอยังมีการแสดงออกที่เปลี่ยแปลงไป ความโศกเศร้าและความตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“เหตุใดตงเล่ยถึงร้องเพลงที่พวกเราเตรียมไว้เ”
องค์รักษ์เกล็ดแดงและเกล็ดฟ้าโกรธจัด
ฟางหยวนกัดฟันแน่นและกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรือ? มีสายลับอยู่ในกลุ่มของพวกเรา เขาแจ้งศัตรูเกี่ยวกับเพลงที่พวกเราเตรียมไว้เ”
องค์รักษ์ทั้งสองมองหน้ากับก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวน
ฟางหยวนมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว “มีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้นที่รู้ คนทรยศคือหนึ่งในพวกเรา มันคือผู้ใด?”
เซี่ยฮันโม่ไม่สามารถเป็นคนทรยศ มีเพียงฟางหยวน องค์รักษ์เกล็ดแดง และองค์รักษ์เกล็ดฟ้าเท่านั้นที่สามารถทรยศ
“บัดซบ!”
“ผู้ใดเป็นคนทรยศ!”
องค์รักษ์ทั้งสองปฏิเสธด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
เซี่ยฮันโม่ถอนหายใจและส่ายศีรษะ “อาจไม่มีสายลับ พวกเขาอาจค้นพบด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ไกลออกไป ผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็งหัวเราะเสียงดังอยู่ในคฤหาสน์วิญญาณของเขา
ซูเหลียนสังเกตเชี่ยฮันโม่และคนอื่นๆมานานแล้ว เมื่อเห็นการแสดงออกของพวกเขา นางเข้าใจบางอย่างทันที “เจ้าวางสายลับไว้ใกล้ตัวนางงั้นหรือ?”
ผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็งหัวเราะ “แน่นอน เซี่ยฮันโม่ยังเด็กและไร้เดียงสาเกินกว่าจะแข่งขันกับข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อวางสายลับไว้ใกล้ตัวนาง”
ดวงตาของซูเหลียนส่องประกายขึ้น “สมกับเป็นผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็ง ราคาที่เจ้าจ่ายถือว่าคุ้มค่า ตอนนี้ตงเลยร้องเพลงของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว เชี่ยฮันโม่ไม่สามารถใช้เพลงที่นางเตรียมไว้ได้อีกนางจะไม่มีเพลงให้ร้อง”
เซี่ยฮันโม่ตกลงสู่หลุมพรางของผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็ง
รอบสุดท้ายเป็นการแข่งร้องเพลงจํานวนสามเพลง ทั้งสามเพลงจําเป็นต้องได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งเสียงเป็นสิ่งจําเป็น นอกจากนั้นพวกนางยังต้องฝึกฝนอย่างหนัก
แต่ละบทเพลงต้องส่งผลกระทบที่แตกต่างกัน
เพลงแรกคือการทําให้คลื่นทะเลสงบ เพลงที่สองคือการดึงดูดสิ่งมีชีวิต เพลงที่สามคือการขับไล่สัตว์ทะเล
ดังนั้นแม้เชี่ยฮันโม่จะเตรียมเพลงสามเพลง แต่หลังจากตงเลยขโมยเพลงแรกไป สองเพลงที่เหลือของนางก็ไม่สามารถใช้แทนที่
“พวกเราจะทําอย่างไร?” องค์รักษ์ทั้งสองรู้สึกกระสับกระส่าย
“บัดซบ! เรามาไกลแล้วแต่กลับติดกับดัก!”
“ไร้ประโยชน์ มันสายเกินไปแล้วที่จะเตรียมตัวตอนนี้”
“นี่เป็นแผนการของผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็ง เราจะเปิดเผยมันและทําลายชื่อเสียงของเขา!” องค์รักษ์เกล็ดแดงกรีดร้อง
ฟางหยวนมององค์รักษ์เกล็ดแดงด้วยสายตาเย้ยหยัน “เจ้ามีหลักฐานงั้นหรือ? ผู้ใดจะเชื่อพวกเรา พวกเขาจะใช้โอกาสนี้โต้กลับ หากเป็นเช่นนั้นพวกเราจะทําอย่างไร?”
“นี่” องค์รักษ์เกล็ดแดงตะลึง
เซี่ยฮันโม่ถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ลืมมันไปซะ”
“ท่านหญิง…” องค์รักษ์ทั้งสองไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด
เชี่ยฮันโม่เผยรอยยิ้มขมขึ้น “พวกเจ้ายังสามารถจากไป เร็วเข้า จากไปตอนที่ยังมีเวลา”
หากเซียฮันโม่พ่ายแพ้ นางจะไม่ใช่เทพธิดาเลือกอีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นนางต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากเทพธิดาเงือกคนใหม่ตงเลยและผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็ง นางจะพบกับจุดจบที่เลวร้า
เพื่อไม่ให้ผู้ติดตามทั้งสามของนางติดร่างแห แม้จะมีสายลับซ่อนตัวอยู่ แต่เชี่ยฮันโม่ก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเดือดร้อนไปพร้อมกับนาง
“ท่านหญิง” เมื่อเข้าใจเจตนาของเซี่ยฮันโม่ องค์รักษ์ทั้งสองเริ่มหลั่งน้ําตา
สถานการณ์นี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับเชี่ยฮันโม่?”
“ดูเหมือนจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น!”
“พวกเขากําลังตื่นตระหนก ฮ่าฮ่า ดูเหมือนการร้องเพลงของท่านหญิงตงเล่ยจะทําให้พวกเขาสิ้นหวัง”
“เฮียฮันโม่จบแล้ว” ในคฤหาสน์วิญญาณ ปู่ซูเหลียนถอนหายใจ
ผู้นําเผ่าคลื่นน้ําแข็งเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “แม้ข้าจะไม่สามารถจัดการผู้อาวุโสสูงสุดที่โง่เขลาแต่ข้าก็สามารถทรมานเชี่ยฮันโม่เพื่อระบายความโกรธและความเกลียดชังของข้า!”
ตงเล่ยก้าวเท้าลงจากเวทีและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ข้าทําให้ทะเลสงบลงหนึ่งเมตรครึ่งข้าจะต่อสู้กับเชียฮันโม่ต่อไป”