เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1670 หัวใจเต้นแรง

บทที่ 1670 หัวใจเต้นแรง

บทที่ 1670 หัวใจเต้นแรง

“ปฏิเสธงั้นหรือ?” เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้ว “สาวน้อย คิดให้ดี เจ้ายังเด็ก เจ้าไม่ควรหุนหัน เจ้าต้องรู้ว่าผู้อ่อนแอไม่สามารถต่อต้านผู้แข็งแกร่ง ในความเป็นจริงเจ้าไม่แม้แต่จะสามารถเรียกว่าผู้อ่อนแอ

“ข้ารู้ว่าตนเองไม่มีผู้ใดให้พึ่งพา ข้าเป็นเพียงตัวละครเล็กๆ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเจ้ามุ่งเป้ามาที่ข้า” เซี่ยหลินมองเจ้าหน้าที่และกล่าวด้วยน้ําเสียงเย้ยหยัน “แต่พวกเจ้าไม่จําเป็นต้องกังวล ข้าจะไม่ตอบโต้อย่างไร้ประโยชน์หรือยื่นคําร้องใดๆ ข้าจะยอมรับข้อกล่าวหาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ําใจของพี่ซูอี้แต่ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน”

เจ้าหน้าที่รู้สึกประหลาดใจ ในห้องที่มืดสลัว ดวงตาของเซี่ยหลินส่องประกายสว่างไสวดวงตาคู่นี้ทําให้เจ้าหน้าที่รู้สึกไม่กล้ามองนาง

เขาปรับสายตาก่อนกล่าว “เจ้าไปได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาคําพูด”

“แน่นอน” เซี่ยหลินยืนขึ้นและจากไปอย่างสงบโดยปราศจากความกังวล

ไม่กี่วันต่อมา

“คุณหนูเซี่ยหลิน ไม่ใช่ว่าโรงเตี้ยมของเราไม่ต้องการต้อนรับท่าน แต่ความรู้สึกของมวลชนรุนแรงเกินไปและมีผู้คนยื่นคําร้องเข้ามามากมาย หากเราปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาจะ…” เจ้าของโรงเตี้ยมพักแรมกล่าว

เชี่ยหลินขัดจังหวะ “ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า ข้าจะไป”

“ขอบคุณสําหรับความเข้าใจ คุณหนูเชี่ยหลิน ท่านเป็นคนดีจริงๆ” เจ้าของโรงเตี้ยมพักแรมกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

เซี่ยหลินเก็บสัมภาระออกจากห้องและเดินลงบันได

“ดูนั่น เป็นนาง!”

“หญิงผู้นี้ทรยศท่านหญิงอี้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง “คนผู้นี้ทําให้พิธีบูชาเทพสมุทรของเมืองทะเลศักดิ์สิทธิ์มัวหมอง”

ผู้ใช้วิญญาณเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

เซี่ยหลินได้ยินทั้งหมดแต่ไม่สนใจ นางเดินออกจากโรงเตี้ยมพักแรมอย่างสงบและไปถึงถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน

“วันนี้เป็นวันแข่งขัน ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว”

“วันนี้ต้องน่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน!”

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าซูอี้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมานานเพราะมีสายลับอยู่ข้างกาย”

“ผู้ใดจะไม่รู้ มันคือเซี่ยหลิน! ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะระวังตัวมากเพียงใดแต่มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันภัยคุกคามภายใน

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเชี่ยหลิน ทุกคนกําลังรีบไปที่ลานกว้างกลางเมืองเพื่อชมการแข่งขัน

แม้บางคนจะสามารถจดจําเชี่ยหลิน แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจ เมืองทะเลศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนมากมายเป็นเรื่องปกติที่หนึ่งหรือสองคนจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน

บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น ผู้คนพลุกพล่านและเต็มไปด้วยความสุข

เซี่ยหลินเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างสงบ การแสดงออกของนางตรงข้ามกับสภาพแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง

นางเคยมีความสุขมาก่อน แต่ตอนนี้ราวกับมีหมอกหนาทึบปกคลุมอยู่รอบๆและทําให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก

นางรู้สึกไม่มีความสุขและไม่อยากรู้อย่างเห็นสิ่งใดอีกต่อไป

“บางทีข้าอาจไม่มาที่นี่อีกตลอดชีวิต เซี่ยหลินเงยหน้ามองอาคารสูง

อาคารเหล่านี้ราวกับกําลังกดทับลงมาที่นาง

เซี่ยหลินรู้สึกหดหูและท้อแท้มากขึ้น นางเร่งฝีเท้าเดินออกจากฝูงชนและตรง เข้าไปในตรอกมืด

ตรอกที่มืดสลัวมีขยะกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งไปทั่ว

อย่างไรก็ตามเชี่ยหลินกลับรู้สึกว่านางหายใจได้ราบรื่นมากกว่าก่อนหน้า

เมื่อเดินเข้ามาในตรอกที่ไร้ผู้คน ศีรษะของเซี่ยหลินค่อยๆก้มลงอย่างช้าๆ

“ข้ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” นางถามตัวเองแต่ไม่ได้รับคําตอบ

ดวงตาของนางกลายเป็นแดงก่ํา ในไม่ช้าน้ําตาก็ไหลออกมา

นางยังเป็นเด็กสาว ทัศนคติที่เข้มแข็งก่อนหน้านี้เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

“สาวน้อย!” มนุษย์เงือกสามคนเดินออกมาจากมุมมืด

เซี่ยหลินมีนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสามารถตอบสนอง

ทั้งสามเป็นอันธพาล เจตนาร้ายของพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจน สิ่งสําคัญที่สุ ดคือทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง

เชี่ยนหลินเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองเช่นกันแต่นางอยู่เพียงลําพัง

“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด?” เซี่ยหลินก้าวถอยหลัง

“เราต้องการสิ่งใดงั้นหรือ?” มนุษย์เงือกมองหน้ากันและหัวเราะ

“คุณหนู การเผชิญหน้าของพวกเราคือโชคชะตา เหตุใดต้องรีบจากไป?”

“แม้เจ้าจะต้องการจากไป มันก็สายเกินไปแล้ว”

เป็นเพียงเวลานี้ที่มนุษย์เงือกระดับสองอีกสองคนเดินเข้ามาหาเซี่ยหลินจากด้านหลัง

หัวใจของเซี่ยหลินจมดิ่งลง ห้าต่อหนึ่ง เส้นทางด้านหน้าและด้านหลังถูกปิดกั้น แม้ที่นี่จะอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก แต่มนุษย์เงือกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใช้วิญญาณและเห็นได้ชัดว่ามันคือการซุ่มโจมตี พวกเขาย่อมต้องมีวิธีปิดบังความโกลาหล

มนุษย์เงือกทั้งห้าเดินเข้าไปหาเชี่ยหลินอย่างช้าๆ

เซี่ยหลินกลายเป็นตื่นตระหนก

กําแพงอันเย็นเยียบทําให้นางรู้สึกหมดหนทาง

นางกัดฟันกล่าว “เข้ามา ต่อให้ตายข้าก็จะลากพวกเจ้าไปด้วย!”

“โอ้ ที่รัก ช่างกล้าหาญนัก”

“พี่ใหญ่ชอบหญิงที่เร้าร้อนเช่นนี้”

มนุษย์เงือกทั้งห้าหัวเราะ พวกเขาไม่กลัวแต่ฝีเท้าของพวกเขาช้าลงเล็กน้อย

“ปัง!”

ทันใดนั้นเชี่ยหลินพลันเกิดความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง

นางถูกโจมตี!

จิตใจของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวโดยเฉพาะเมื่อนางเห็นกําแพงละลายขณะที่มนุษย์เงือกคนที่หกเดินออกมา

“พวกเขาจับข้า!” หัวใจของเซี่ยหลินกลายเป็นเย็นเยียบก่อนที่นางจะหมดสติ

“นางล้มลงแล้ว…”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นายท่าน วิธีของท่านช่างอัศจรรย์นัก!”

“เร็วเข้า เก็บกวาดสถานที่ พิธีบูชาเทพสมุทรกําลังจะเริ่มขึ้น!”

มนุษย์เงือกทั้งหกปิดล้อมเซี่ยหลิน

“ตื่นได้แล้ว ตื่น…” เสียงทุ้มต่ําดังขึ้นท่ามกลางความมืด เชี่ยหลินค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นความเจ็บปวดเตือนสตินางขณะที่นางพยายามลุกขึ้น จากนั้นนางก็เห็นมนุษย์เงือกทั้งหกนอนอยู่บนพื้นในท่าทางแปลกประหลาดโดยไม่ขยับเขยื้อน

ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ยืนอยู่ตรงกลางกลุ่มมนุษย์เงือกทั้งหก

เซี่ยหลินกรีดร้องด้วยความดีใจ “ท่านชู เป็นท่าน!”

“ถูกต้อง เป็นข้า ข้าเฝ้าดูพิธีบูชาเทพสมุทรมาตั้งแต่แรก ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าเช่นกัน เจ้าถูกซูอี้โยนทิ้งใช่หรือไม่?” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง

น้ําตาของเซี่ยหลินเริ่มไหลริน นางสะอื้นให้ “ท่านชู ท่าน…”

“ข้าค่อนข้างชํานาญในการมองผู้คน แม้ข้าจะพบเจ้าเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” ฟางหยวนกล่าว

เซี่ยหลินไม่สามารถเก็บความรู้สึกไว้ได้อีก นางยกมือขึ้นปิดหน้าและเริ่มร้องไห้ราวกับเด็กน้อย

ฟางหยวนเฝ้ามองนางร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆก่อนจะตบไหล่นางเบาๆ “ไปกันเถอะ”

“ไปที่ใด?” เซี่ยหลินมึนงงเล็กน้อย

“ข้าต้องรับผิดชอบเจ้า” ฟางหยวนถอนหายใจ “หากข้าไม่มอบวิญญาณรวบรวมน้ํามันให้เจ้า เจ้าคงไม่ตกเป็นเป้าหมายของซูอี้และเข้าร่วมในพิธีบูชาเทพสมุทรครั้งนี้ ดังนั้นข้าจะพาเจ้าไปกับข้าตามข้ามา”

“ตกลง” เซี่ยหลินพยักหน้า นางไม่สนใจเมืองทะเลศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

ฟางหยวนเดินนําหน้าขณะที่เซี่ยหลินเดินตามหลังอย่างเชื่อฟัง

พวกเขากลับไปยังถนนสายหลัก มันยังเต็มไปด้วยผู้คน มีร้านค้ามากมายและยังมีการเชิดสิ่งโตอย่างยิ่งใหญ่

เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชนอีกครั้ง เซี่ยหลินรู้สึกกลัวและรังเกียจ แต่เมื่อฟางหยวนเดินไปข้างหน้าเชี่ยก็ทําได้เพียงเดินตามเท่านั้น

เมื่อพวกเขาเดินออกจากตรอก ฟางหยวนดีดนิ้ว

ฉากต่อไปทําให้เชี่ยหลินมึนงง ปากของนางอ้ากว้างจนสามารถกลืนไข่ห่านเข้าไปทั้งใบนางตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นถนนทั้งสายหยุดนิ่ง

“นี่..นี่” นางรู้สึกพูดไม่ออก

“กลเล็กๆน้อยๆ มาเถอะ” ฟางหยวนโบกมือก่อนจะเดินต่อไป

เชี่ยหลินเร่งฝีเท้าและเดินตามฟางหยวนไปอย่างใกล้ชิด

นี่เป็นสถานการณ์ที่นางไม่เคยประสบมาก่อน

นางเดินผ่านมนุษย์เงือกสองคนที่กําลังพูดคุยกันและดูเหมือนทั้งคู่จะเป็นคนรัก นางมองไปที่ร้านค้าที่ลูกค้ากําลังต่อราคากับคนขาย น้ําลายที่พุ่งออกมาจากปากของคนขายยังลอยอยู่กลางอากาศ

สุนัขตัวหนึ่งที่กําลังวิ่งผ่านหางของมนุษย์เงือกยกขาสามข้างขึ้นสู่อากาสขณะที่อีกข้างอยู่บนพื้น

เซี่ยหลินมองการแสดงออกที่หลากหลายของผู้คนด้วยความตื่นตาตื่นใจ นั่นทําให้นางลืมความหดหูและความคับข้องใจทั้งหมดไปอย่างสมบูรณ์

ฟางหยวนเดินเร็วมาก มันค่อนข้างยากสําหรับเซี่ยหลินที่จะเดินตามเขา

“ตุบ!”

นางเดินชนผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ที่มีร่างกายแข็งแกร่งผู้หนึ่ง

ร่างของผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ส่ายไปมาแต่ยังอยู่ในท่าเดิม อย่างไรก็ตามเท้าของเขาเกือบหลุดออกจากพื้นและเริ่มเอียงไปด้านข้าง

“ขอโทษ!” นางกําลังจะช่วยผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ผู้นั้นแต่ฟางหยวนดึงตัวนางออกไป

“มานี่” ฟางหยวนมอบหน้ากากให้นาง

“ท่านชู นี่” เซี่ยหลินมีนงง ฟางหยวนไม่ได้พานางออกจากถนนแต่พานางไปที่คณะเชิดสิ่ง

หน้ากากที่ฟางหยวนมอบให้นางทําจากเกล็ดปลาและขนนก มันค่อนข้างมีสีสันทีู่ดฉาด

ฟางหยวนกล่าว “ละครเพลงกําลังจะเริ่มแต่พวกเขาขาดตัวละครนําชายและหญิง ชาวประมงกตัญญและเจ้าหญิงเงือกพเนจร”

ละครเพลงเป็นรูปแบบหนึ่งของความบันเทิงที่ได้รับความนิยมในถ้ําสวรรค์แห่งนี้

“วิธีของข้าอยู่ได้ไม่นาน ใส่หน้ากากเร็ว เราจะผสานตัวเข้าไปในฝูงชน” ฟางหยวนกระตุ้นเซียหลินและไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ

“ตกลง” เซี่ยหลินรับหน้ากากจากฟางหยวนและสวมมันทันที นี่ทําให้หัวใจของนางสงบลง

ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้จักนางอีกต่อไป

แรงกดดันทางจิตใจของนางลดลงอย่างมาก

แต่หลังจากไม่นาน ใบหน้าของนางก็เริ่มแดง เพราะนางเห็นฟางหยวนสวมหน้ากากเป็นชายชาวประมงกตัญญู

“นี่หมายความว่าท่านชูกับข้าจะแสดงเป็นตัวละครหลักชายและหญิงของเรื่องนี้ใช่หรือ ไม่?”หัวใจของเซี่ยหลินเต้นแรงขึ้น

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท