เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1713 การต่อสู้ของเทพ

บทที่ 1713 การต่อสู้ของเทพ

บทที่ 1713 การต่อสู้ของเทพ

“บึ้ม บึ้ม บึ้ม”

ด้วยการระเบิดเป็นลูกโซ่ วิหารเทพทั้งห้าถูกเปาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยท่ามกลางกองไฟขนาดใหญ่

ปรมาจารย์ห้าธาตุลอยอยู่กลางอากาศ แม้ใบหน้าของเขาจะดูอ่อนล้า แต่เขาไม่ได้รับอันตรายใดๆ

หลังจากเข้าไปในแท่นบูชาแห่งโชค เขาหัวเราะเสียงดัง “แม้วิหารเทพทั้งห้าจะไม่ธรรมดา แต่ข้าเข้าใจมัน นั่นทําให้ข้าสามารถทําลายมันได้อย่างง่ายดาย!”

เขากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ปิงช่ายฉวนกล่าวอย่างชัดเจน “แน่นอน วิธีบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่เจ้าใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดเตรียมของเทพอมตะตะวันเดือด”

ปรมาจารย์ห้าธาตุตะลึง การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไป เขามองปิงช่ายฉวย “ท่านหมายถึงสิ่งใด?”

บิงช่ายฉวยชําเลืองมองปรมาจารย์ห้าธาตุและเผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง “เจ้าคิดว่าเจ้าเลือกเข้าร่วมกับถ้ําสวรรค์นิรันดรหลังจากถูกกําหราบโดยแท่นบูชาแห่งโชคงั้นหรือ? เจ้าลองทบทวนประโยคสุดท้ายในมรดกของเจ้าให้ดี”

ปรมาจารย์ห้าธาตุเต็มไปด้วยความสงสัย

เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษตั้งแต่แรก จุดเปลี่ยนของเขาคือมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่เขาพบโดยบังเอิญ สิ่งนี้นํามาสู่ความสําเร็จของเขา

ตั้งแต่ข้าได้รับมรดกที่แท้จริง ข้าบ่มเพาะอย่างลับๆและไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้กับผู้ใด ปิงช่ายฉวนรู้ได้อย่างไร? ประโยคสุดท้ายในมรดก

“โอ้ มันคือฟังปิงช่ายฉวนและโจมตีวังสวรรค์!?” ปรมาจารย์ห้าธาตุมองปิงช่ายฉวนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ปิงช่ายฉวนกล่าวอย่างช้าๆ “แม้เทพอมตะจะไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา แต่ในระดับเทพ พวกเขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับทุกเส้นทางและสามารถจัดเตรียมสิ่งต่างๆที่จะส่งกระทบต่อคนรุ่นหลัง”

“หลังจากเทพอมตะตะวันเดือดมาเยี่ยมวังสวรรค์ เขาวางแผนสําหรับการบุกโจมตีในวันนี้ไว้แล้ว วิธีการทําลายวิหารเทพทั้งห้าเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเตรียมของเขา”

“หากเทพอมตะตะวันเดือดเปิดเผยมันโดยตรง วังสวรรค์จะสังเกตเห็น ดังนั้นเขาจึงทิ้งบางสิ่งไว้ด้านนอก เขาปล่อยให้มันตกอยู่ในมือของผู้บ่มเพาะสันโดษ เมื่อเจ้าไม่ใช่สายเลือดของเทพอมตะตะวันเดือด แม้เจ้าจะเป็นผู้อมตะระดับแปด แต่วังสวรรค์ย่อมไม่คาดคิดว่าเจ้าจะมีวิธีการตอบโต้วิหารเทพทั้งห้า พวกเขาจะไม่สามารถเชื่อมโยงเจ้ากับการบุกวังสวรรค์ของเรา!”

“ปรมาจารย์ห้าธาตุ การต่อสู้ครั้งนี้ซับซ้อนกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการถึงผู้อมตะระดับหกและระดับเจ็ดไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม สําหรับผู้อมตะระดับแปดเช่นพวกเราก็ยังเป็นเพียงตัวหมากเบี้ย บางคนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งและตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง บางคนเข้าร่วมแต่ไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง”

“ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้คือการต่อสู้ข้ามกาลเวลาและห้วงมิติของเทพ!”

ปรมาจารย์ห้าธาตุตกตะลึง เขาพึมพํา “การต่อสู้ข้ามกาลเวลาและห้วงมิติของเทพ?”

ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีเทพอมตะและปีศาจอมตะเพียงสิบคน พวกเขาอยู่บนจุดสูงสุด และเป็นตัวตนที่ได้รับการเคารพบูชา

การเปิดเผยความจริงของปิงช่ายฉวนทําให้ปรมาจารย์ห้าธาตุตกใจมาก

เขารู้สึกถึงความไร้นัยสําคัญของตนเอง ความรู้สึกภาคภูมิใจก่อนหน้าของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์

ปิงช่ายฉวนมองท่าทางที่ตกใจของปรมาจารย์ห้าธาตุและปลอบโยน “อย่ากังวล ท่ามกลางเทพอมตะและเทพปีศาจ เทพอมตะตะวันเดือดห่วงใยบุตรหลานและผู้ใต้บังคับบัญชามากที่สุด”

“เทพอมตะและเทพปีศาจแต่ละคนมีการเตรียมการของตนเอง พวกเขาจะใช้อิทธิพลเหล่านั้นในช่วงเวลาสําคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอย่างไร้ปรานี การเตรียมการบางส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่ง แม้จะเป็นผู้อมตะระดับเก้า แต่พวกเขาก็ไม่รู้ทุกสิ่ง พวกเขาสามารถทําเรื่องผิดพลาด การเตรียมการหลายอย่างไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป”

“เทพอมตะและเทพปีศาจรุ่นหลังที่ค้นพบการจัดเตรียมเหล่านั้นมักจะดัดแปลงพวกมัน”

“เทพอมตะตะวันเดือดมาหลังจากเทพอมตะบัวสวรรค์และเทพปีศาปล้นสวรรค์ แต่เขามาก่อนเทพปีศาจจิตวิญญาณและเทพอมตะสวรรค์พิภพ ผู้อมตะระดับเก้าที่ปรากฏตัวขึ้นภายหลัง ย่อมมีความได้เปรียบมากกว่า นี่เป็นเหตุผลที่พวกเรามีความได้เปรียบในการบุกโจมตีวังสวรรค์ในครั้งนี้

คํากล่าวของปิงช่ายฉวนทําให้ปรมาจารย์ห้าธาตุตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์

ปิงช่ายฉวนหัวเราะ “ราชันมังกรงั้นหรือ? เขาจะสามารถเปรียบเทียบกับการจัดเตรียมของเทพอมตะตะวันเดือดได้อย่างไร? อย่ากังวล เจ้าต้องมั่นใจว่าเราจะประสบความสําเร็จ ในการเดินทางครั้งนี้ถ้ําสวรรค์นิรันดรของเราจะได้รับวิญญาณชะตากรรมอย่างแน่นอน!”

“ได้รับวิญญาณชะตากรรม?” เป็นเพียงเวลานี้ที่ปรมาจารย์ห้าธาตุตระหนักถึงเป้าหมายที่แท้จริงของถ้ําสวรรค์นิรันดร

“ถูกต้อง” ปิงช่ายฉวนยอมรับอย่างเปิดเผย “วังสวรรค์ต้องการขโมยโชคของพวกเรา เหตุใด พวกเขาจะไม่สามารถขโมยชะตากรรมของพวกเขา?”

“สิ่งใดที่ทําให้วังสวรรค์เป็นกองกําลังอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์? มันคือวิญญาณชะตากรรม เมื่อถ้ําสวรรค์นิรันดรได้รับมัน พวกเราจะกลายเป็นกองกําลังอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์แทนพวกเขา!”

ในห้องโถงใหญ่ของวิหารกลาง

เทพธิดาจื่อเว่ยมองแท่นบูชาแห่งโชคและแสดงออกอย่างจริงจัง “พวกเขากําลังมา!”

ด้านข้าง เฒ่าเจิ้งหยวนแสดงออกด้วยความกังวล

แม้วิหารกลางจะเป็นพื้นที่ควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งหมดของวังสวรรค์ แต่มันมีพลังป้องกันค่อนข้างต่ํา

แม้วิหารกลางแห่งนี้จะเคยถูกบุกโจมตีโดยสามเทพปีศาจมาแล้ว แต่ยังสวรรค์ไม่เคยเสริมการป้องกันของมัน ต่อหน้าเทพปีศาจ แม้วิหารกลางจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์

การจัดเตรียมของเทพอมตะตะวันเดือดทําให้เทพธิดาจื่อเว่ยและคนอื่นๆไม่สามารถรักษาความสงบ

“ดูเหมือนข้อบกพร่องที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การป้องกันแต่อยู่ที่กรอบความคิด” เทพธิดาจื่อเว่ยตระหนักถึงบางสิ่ง “ข้าพลาดบางอย่างไปงั้นหรือ?”

“อีกนานเท่าใดก่อนที่วิญญาณชะตากรรมจะฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์?” ราชันมังกรถาม

เทพธิดาจื่อเว่ยตอบด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง “เราต้องการเวลาอีกหกชั่วโมง”

“หกชั่วโมง” ราชันมักงรรู้สึกมีความสุข “อายุขัยของข้าใกล้สิ้นสุดแล้ว แต่สวรรค์ยังสงสารข้า แม้เวลาหกชั่วโมงจะไม่นานนัก แต่ข้าจะได้เห็นวิญญาณชะตากรรมฟื้นคืนมา หลังจากนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้า”

เทพธิดาจื่อเว่ยถามด้วยความกังวล “ท่านราชันมังกร อาการบาดเจ็บของท่านยัง…”

แม้วังสวรรค์จะพยายามรักษาราชันมังกรอย่างดีที่สุด แต่อาการบาดเจ็บของเขาไม่สามารถรักษาได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ราชันมังกรเผยรอยยิ้ม “ข้าใกล้ตายแล้ว อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่สําคัญ ข้าจะใช้ท่าไม้ตายอมตะมังกรสวรรค์ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ในเวลานั้นยังจะมีผู้ใดในห้าภูมิภาคที่สามารถต่อต้านข้า”

การแสดงออกของเขายังสงบนิ่งแต่คํากล่าวของเขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและทรงอํานาจ

แท่นบูชาแห่งโชคเหมือนสัตว์ร้ายที่พุ่งตรงไปยังวิหารกลาง

หากวิหารกลางถูกโจมตี มันจะพังพินาศลงอย่างแน่นอน

เป็นเพียงเวลานี้ที่ร่างเล็กๆปรากฏขึ้นกีดขวางเส้นทางของมัน

“ราชันมังกร!” ปรมาจารย์ห้าธาตุตะโกน

“พุ่งชนเขา!” ปีศาจกระทิงกล่าว

“บึม!”

แท่นบูชาแห่งโชคเหมือนภูเขาที่ถล่มลงจากอากาศ

ราชันมังกรไม่ขยับ เขาใช้กรงเล็บมังกรจับแท่นบูชาแห่งโชคและหยุดมันโดยตรง

“นี่!” ปรมาจารย์ห้าธาตุตกใจมาก

ปีศาจกระทิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “เขาสามารถหยุดแท่นบูชาแห่งโชคได้อย่างง่ายดาย เหลือเชื่อ! หากข้าไม่เห็นสิ่งนี้ด้วยตาของตนเอง ข้าจะไม่มีวันเชื่อ!”

กรงเล็บมังกรออกแรงและสร้างรอยแตกร้าวขึ้นบนแท่นบูชาแห่งโชค

แท่นบูชาแห่งโชคโจมตีราชันมังกรแต่เขายังไม่เคลื่อนไหว

ปราณมังกรพุ่งออกมาจากร่างของราชันมังกรและโจมตีแท่นบูชาแห่งโชค

“ราชันมังกรไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการต่อสู้ที่ทะเลตะวันออก” ปีศาจกระทิงเบิกตากว้าง

ปรมาจารย์ห้าธาตุตกใจอีกครั้ง

แม้แท่นบูชาแห่งโชคจะเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด แต่มันยังถูกกําหราบโดยราชันมังกรเพียงผู้เดียว

เดิมที่สมาชิกถ้ําสวรรค์นิรันดรสามารถมองเห็นชัยชนะอยู่ที่ขอบฟ้า แต่ราชันมังกรกลับทําให้ความหวังของพวกเขากลายเป็นความฝัน

ราชันมังกรเป็นอุปสรรคที่พวกเขาไม่สามารถข้ามผ่าน

“เราต่างเป็นผู้อมตะระดับแปด เหตุใดความแข็งแกร่งของเราจึงแตกต่างกันถึงเพียงนี้? ท่านปิงช่ายฉวน เราจะทําอย่างไร?” ปรมาจารย์ห้าธาตุเต็มไปด้วยความกังวล

ความแตกต่างของพลังการต่อสู้ไม่สามารถชดเชยด้วยความกล้าหาญ

ปรมาจารย์ห้าธาตุหันหน้าไปทางปิงช่ายฉวนแต่ตอนนี้เขากลับหายตัวไป

เขาไปที่ใด?

ปิงช่ายฉวนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังราชันมังกร

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เขาเตรียมไว้พุ่งปะทะศีรษะของราชันมังกร

สําเร็จหรือไม่?” รูม่านตาของปิงช่ายฉวนหดเล็กลง

ราชันมังกรไม่เคลื่อนไหวแต่ส่งปราณมังกรออกมา

ปราณมังกรพุ่งเข้าโจมตีปิงช่ายฉวนและส่งเขาบินขึ้นไปด้านบน

ปิงช่ายฉวนพยายามหลบหนีจากปราณมังกรแต่มันไร้ประโยชน์

เขาไม่สามารถทําลายปราณมังกรเนื่องจากความเร็วในการฟื้นตัวของมันสูงมาก

“นี่ไม่ใช่พลังการต่อสู้ตามปกติของเจ้าอย่างแน่นอน!” ปิงช่ายฉวนกัดฟันกล่าว

“เจ้าจะเข้าใจท่าไม้ตายอมตะมังกรสวรรค์ของข้าได้อย่างไร?” ราชันมังกรมองปิงช่ายฉวน ขณะเดียวกันเขาก็ยังโจมตีแท่นบูชาแห่งโชคอย่างต่อเนื่อง

หากสิ่งนี้ยังดําเนินต่อไป แท่นบูชาแห่งโชคจะถูกทําลายอย่างแน่นอน

ปรมาจารย์ห้าธาตุกัดฟันแน่น “ให้ข้าออกไป ข้ายอมตายในการต่อสู้กับราชันมังกรดีกว่าตายอยู่ที่นี้โดยไม่ทําสิ่งใดเลย!”

ปีศาจกระทิงเงียบ

ปิงช่ายฉวนหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่แล้วอย่างไร? ข้ามีไพ่ตายเช่นกัน! ด้วยความเคารพ เทพปีศาจไร้ขอบเขต โปรดหันกลับมา!”

“อันใด!?” คราวนี้เป็นราชันมังกรที่ตกใจ

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท