บทที่ 1720 เดินผ่านกิ่งและใบ
การวิเคราะห์ของเทพธิดาจื่อเว่ยไม่ผิด
วิญญาณชะตากรรมไม่อนุญาตให้ผู้อมตะในอดีตปรากฏตัวขึ้นในปัจจุบัน ผู้อมตะในปัจจุบันก็ไม่สามารถเดินทางสู่อดีต
เทพธิดาจื่อเว่ยพึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ปิงช่ายฉวนรู้มาตั้งแต่ต้น
ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมไม่สามารถถูกทําลาย มิฉะนั้นการฟื้นฟูวิญญาณชะตากรรมจะล้มเหลวอย่างสมบูรณ์
วิญญาณชะตากรรมที่เสียหายมากเกินไปจะกลายเป็นไร้ประโยชน์แม้ถ้ําสวรรค์จะสามารถฉกชิงมันไป
ถ้ําสวรรค์นิรันดรไม่มีวิธีฟื้นฟูวิญญาณชะตากรรม
ดังนั้นพวกเขาจึงส่งผู้อมตะเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมเพื่อยึดครองวิญญาณชะตากรรม
ปิงชายฉวนมอบภารกิจนี้ให้กับปีศาจกระทิงและปรมาจารย์ห้าธาตุ นี่คือขีดจํากัด
ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมไม่ได้มีไว้สําหรับการต่อสู้ พื้นที่ภายในของมันสามารถรองรับผู้อมตะระดับแปดได้ห้าคนเท่านั้น
หากเกินขีดจํากัด ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมจะพังทลายลง
ด้วยเหตุนี้ปิงช่ายฉวนหรือเทพธิดาจื่อเว่ยจึงไม่สามารถส่งกําลังเสริมเข้าไป
การต่อสู้รอบๆแท่นบูชาแห่งโชคเกี่ยวข้องกับผู้อมตะในประวัติศาสตร์จํานวนมาก แต่การต่อสู้ในค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมกลับเข้มข้นมากกว่า
ชิงช่ายฉวนคิด “แม้ฝ่ายของเราจะแข็งแกร่ง แต่เรามุ่งเน้นที่การป้องกัน ในกรณีเลวร้ายที่สุดเราต้องทําลายค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม แม้เราจะไม่ได้รับวิญญาณชะตากรรม เราก็ไม่สามารถปล่อยให้วังสวรรค์ประสบความสําเร็จ!”
ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการทําลายค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม แต่หากไม่มีทางเลือก ถ้ําสวรรค์นิรันดรจะต้องทําลายมันและทําให้ทั้งสองฝ่ายพบกับความสูญเสีย
เป้าหมายของถ้ําสวรรค์นิรันดรคือการขโมยวิญญาณชะตากรรม หากค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมถูกทําลาย พวกเขาจะล้มเหลว
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเรา!” ปีศาจกระทิงเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน
ไกลออกไป ปรมาจารย์ห้าธาตุใช้ท่าไม้ตายอมตะแสงห้าธาตุโจมตีเช่อเว่ย
โล่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหน้าเช่อเว่ยและปกป้องเขาจากแสงห้าธาตุ
“บัดซบ!” ปรมาจารย์ห้าธาตุเพิ่มพลังโจมตีและสามารถทําลายโล่ป้องกันของเช่อเว่ยในที่สุด
อย่างไรก็ตามแนวป้องกันใหม่กลับก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เช่อเว่ยมีวิธีป้องกันที่โดดเด่น นั่นทําให้ปรามาจารย์ห้าธาตุรู้สึกหมดหนทาง
ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ห้าธาตุหรือเช่อเว่ย พวกเขาต่างต้องควบคุมพลังของตนเองเพราะพวกเขาไม่ต้องการทําลายค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม
การต่อสู้ระหว่างปีศาจกระทิงและกงเยี่ยนก็เป็นเช่นเดียวกัน
นั่นทําให้ฝ่ายตั้งรับได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้
“พวกเราควรทําอย่างไร?” ปรมาจารย์ห้าธาตุลอบถามปีศาจกระทิงอย่างลับๆ
ปีศาจกระทิงตอบได้เพียงว่า “โจมตี พยายามดึงความสนใจของพวกเขา!”
หลังกล่าวจบคํา ปีศาจกระทิงก็พุ่งเข้าต่อสู้กับกงเยี่ยนอย่างดุเดือด
ปรมาจารย์ห้าธาตุเข้าใจความหมายของปีศาจกระทิง เขาไม่คิดมากอีกต่อไปและเริ่มต่อสู้กับเช่อเว่ยอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง หยวนเชียงตู้พยายามซ่อมแซมวิญญาณชะตากรรมโดยไม่สนใจสิ่งใด
ท่ามกลางสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวาย กลีบดอกไม้เล็กๆลอยไปยังหอคอยดวงตาสวรรค์โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ฮิฮิ” กลีบดอกไม้กลายเป็นเด็กหญิงร่างเล็กผู้หนึ่ง
นางไม่ใช่ผู้ใดนอกจากท่านหญิงดอกไม้ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้
“โอ้ ไม่ บางคนเข้าไปในหอคอย!” หยวนเชียงตู้ตกตะลึงและรีบแจ้งเตือนคนอื่นๆ เขาต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลสําหรับเสียงตะโกนนี้ เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาจิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เช่อเว่ยและกงเยี่ยนเร่งล่าถอยและต้องการเข้าไปในหอคอยดวงตาสวรรค์
“สายไปแล้ว!” ปีศาจกระทิงหัวเราะเสียงดัง เขาร่วมมือกับปรมาจารย์ห้าธาตุเพื่อหยุดศัตรู
เช่อเว่ยและกงเยี่ยนรู้สึกหงุดหงิดมาก แผนการของฝ่ายตรงข้ามไร้ยางอายเกินไป
ในความเป็นจริงนี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีศาจกระทิงและท่านหญิงดอกไม้ ทั้งสองใช้อายุขัยร่วมกัน ตราบเท่าที่คนหนึ่งยังมีชีวิต อีกคนจะสามารถฟื้นคืนชีพ
หลังจากท่านหญิงดอกไม้ฟื้นคืนชีพ นางลอบสังเกตการณ์อยู่อย่างลับๆก่อนจะลงมือโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ข้าควรทําอย่างไร?” หยวนเชียงรู้สึกปวดศีรษะ
เขาเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม เขาสามารถทําลายค่ายกลนี้แต่มันจะเป็นการทําลายแผนการของวังสวรรค์
หากเขาไม่ทําเช่นนั้น ศัตรูจะได้รับวิญญาณชะตากรรมที่เกือบสมบูรณ์ แต่พวกเขายังมีโอกาสนํามันกลับคืน หากพวกเขาไม่สามารถนํากลับคืน การทํางานหนักทั้งหมดของวังสวรรค์จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ขณะที่ถ้ําสวรรค์นิรันดรจะได้รับประโยชน์มหาศาล
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลําบาก
เมื่อท่านหญิงดอกไม้ขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของหอคอยดวงตาสวรรค์และพบกับวิญญาณชะตากรรมขณะที่หยวนเชียงตู้ยังไม่สามารถตัดสินใจ
“สําเร็จ!” ดวงตาของท่านหญิงดอกไม้ส่องประกายขึ้น นางเอื้อมมือออกไปคว้าวิญญาณชะตากรรม
หากนางทําสําเร็จ นางจะมีผลงานที่ยิ่งใหญ่
แต่ในจังหวะนี้ภาพวาดปาไผ่กลับปรากฏขึ้นบนกําแพงของหอคอยดวงตาสวรรค์
“มันคือสิ่งใด?” ท่านหญิงดอกไม้ตะลึง
สามแสนปีก่อน
เทพอมตะบัวสวรรค์เดินลงจากภูเขากลุ่มดาวและเผยรอยยิ้มขมขืน “นี่คือเกมหมากรุกที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยเทพปีศาจไร้ขอบเขตและเทพอมตะกลุ่มดาว หากข้าพยายามแทรกแซงด้วยกําลัง ข้าต้องต่อต้านพลังอํานาจของสองเทพ”
“แม้พวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ข้าไม่สามารถคิดด้วยตรรกะทั่วไป แม้ข้าจะทําสําเร็จ แต่มันจะส่งผลเสียต่อวังสวรรค์เช่นกัน”
“ตั้งแต่เทพอมตะกลุ่มตกลงรับข้อเสนอของเทพปีศาจไร้ขอบเขตและร่วมกัน สร้างสิ่งนี้นางย่อมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อวังสวรรค์อย่าง แน่นอนข้าไม่จําเป็นต้องเป็นคนบาป”
แต่ถึงกระนั้นเทพอมตะบัวสวรรค์ก็ยังไม่มั่นในอย่างเต็มที่
เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะเดินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยดวงตาสวรรค์
ทันใดนั้นเขาพลันเผยรอยยิ้มให้กับกําแพงที่ว่างเปล่า “ถูกต้อง ข้าสามารถทิ้งภาพวาดไว้ที่นี่”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาทิ้งภาพวาดไว้ที่นี่
สามแสนปีต่อมา ภาพวาดป่าไผ่ของเทพอมตะบัวสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าท่านหญิงดอกไม้
มือของท่านหญิงดอกไม้อยู่ห่างจากวิญญาณชะตากรรมเพียงหนึ่งนิ้วแต่ระยะทางนี้กลับไม่สามารถทําลายได้
ร่างของท่านหญิงดอกไม้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ นางไม่สามารถขยับเขยื้อน
นางมองภาพวาดปาไผ่ด้วยความงุนงง
ลมพัดผ่านใบไผ่และทําให้มันสั่นไหว แสงสีเขียวหยกโอบล้อมร่างกายของท่านหญิงดอกไม้
“นิ้ว นิ้ว”
ผู้อมตะทั้งหมดในสนามรบได้ยินเสียงลมพัด
ใบไผ่ร่วงหล่นลงจากกิ่งและสร้างเป็นฉากที่งดงามอยู่บนกําแพงของหอคอยดวงตาสวรรค์
ราชันมังกรรู้สึกราวกับตนเองนอนอยู่ในป่าไผ่
เขาไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป จิตใจของเขากลายเป็นกระจ่างชัด
พลังลึกลับบนเส้นทางแห่งไม้ที่บริสุทธิ์ทําให้เขารู้สึกมีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
ราชันมังกรค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆในป่าไผ่ ท่ามกลางความมึนงง เขามองเห็นเทพอมตะบัวสวรรค์
คนผู้นี้อยู่ในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่ดูสุภาพ เขาสวมชุดสีเขียวและโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวเส้นผมของเขาปลิวไปตามสายลม
เทพอมตะบัวสวรรค์เผยรอยยิ้มบางและเดินผ่านราชันมังกรอย่างช้าๆ
ราชันมังกรได้ยินถ้อยคําที่อ่อนโยน “ซ้ายคือความรัก ขวาคือความใคร่ เดินไปบนเส้นทางทั้งสอง หว่านเมล็ดและปล่อยให้ดอกไม้บาน เติมเต็มเส้นทางนี้ด้วยกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ปล่อยให้ผู้คนสัมผัสกับความเจ็บปวดเมื่อเดินผ่านกิ่งก้าน หลั่งน้ําตาเมื่อเหยียบย่ําหนามแต่ไม่รู้สึกโศกเศร้า”
หลังกล่าวจบ เทพอมตะบัวสวรรค์ก็เดินเข้าไปในส่วนลึกของป่าไผ่
“ท่านคือเทพอมตะบัวสวรรค์งั้นหรือ?” ราชันมังกรมองไปยังเทพอมตะบัวสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางป่าไผ่
เขาทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ “จําไว้ท่าไม้ตายนี้เรียกว่าเดินผ่านกิ่งและใบ”
ในเวลาต่อมาราชันมังกรก็ตื่นขึ้นจากภวังค์
ตอนนี้เขายืนขึ้นแล้ว โซ่สีเงินที่พันธนาการเขากลายเป็นใบไผ่ร่วงหล่นลงสู่พื้น