บทที่ 1738 ต้นกําเนิดของวังสวรรค์
บรรยากาศกลายเป็นหนักหน่วง ผู้อมตะหนุ่มบังคับรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ท่านเทพอมตะ ตอนนี้ท่านอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี ท่านยังมีเวลาอีกหลายพันปีหรือหลายหมื่นปี ไม่ใช่ว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้สั้นหรือ?”
การแสดงออกของเทพอมตะแรกกําเนิดกลายเป็นเคร่งขรึม เขามองผู้อมตะหนุ่มด้วยสายตาสงบนิ่ง แต่คนหลังกลับไม่สามารถหายใจและต้องก้มศีรษะลงทันที
เทพอมตะแรกกําเนิดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “คนที่ไม่คิดถึงปัญหาในอนาคตจะพบกับความทุกข์ทรมานเป็นคนแรก หากเราไม่คิดวิธีแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆและระมัดระวัง หลังจากข้าตาย การเสียสละทั้งหมดของเราจะไร้ความหมาย ความสําเร็จที่ได้มาอย่างยากลําบากจากการต่อสู้ดิ้นรนของเราจะกลายเป็นสูญเปล่า”
“ยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งใด หลังจากข้าตาย ผู้ใดในกลุ่มพวกเจ้าที่สามารถเป็นผู้นําเผ่ามนุษย์ต่อต้านเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์?” เทพอมตะแรกกําเนิดถาม
กลุ่มผู้อมตะมองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดตอบคําถาม
แม้เผ่ามนุษย์จะฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่พวกเขายังต้องพึ่งพาเทพอมตะแรกกําเนิด ผู้อมตะเผ่ามนุษย์คนอื่นๆไม่สามารถแข่งขันกับผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์
เทพอมตะแรกกําเนิดถอนหายใจ “ภาคกลางใหญ่โตมาก ผู้อมตะเผ่ามนุษย์มีกี่คน? ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์มีกี่คน? แล้วมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดมีกี่คน? ความแตกต่างของมันใหญ่โตมาก”
“แม้เราจะสามารถปกครองภาคกลาง แล้วอีกสี่ภูมิภาคที่เหลือจะเป็นอย่างไร?
“ตอนนี้ความแข็งแกร่งของข้าถูกเปิดเผยออกไปแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์ตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถต่อต้านข้า ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซ่อนตัว เราไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาพวกเขา โดยเฉพาะถ้ำสวรรค์หรือแดนศักดิ์สิทธิ์”
กลุ่มผู้อมตะเริ่มเข้าใจเจตนาของเทพอมตะแรกกําเนิด
แม้เผ่ามนุษย์จะเติบโตขึ้น แต่พวกเขายังต้องพึ่งพาเทพอมตะแรกกําเนิด ขณะที่อายุขัยของเทพอมตะแรกกําเนิดมีจํากัด เขาจะตายในวันหนึ่ง
เทพอมตะแรกกําเนิดแข็งแกร่งที่สุดแต่เขาไม่มีวิธีค้นหาศัตรูที่มีประสิทธิภาพ
ผู้อมตะชราผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ตามคํากล่าวของท่านเทพอมตะ วิธีที่จะทําให้มนุษย์สามารถปกครองโลกได้ในระยะยาวคือการละทิ้งระบบตระกูลและสร้างระบบนิกายเช่นนั้นหรือ?”
เทพอมตะแรกกําเนิดพยักหน้า
“เราจะสามารถเอาชนะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดและมอบอนาคตที่สดใสให้กับมนุษยชาติได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาข้าเพียงผู้เดียว”
“เผ่ามนุษย์กลายพันธุ์สามารถซ่อนตัว หากเราต้องการให้เผ่ามนุษย์สามารถพึ่งพาตนเอง เราต้องขยายจํานวนประชากรของเราและหล่อเลี้ยงผู้อมตะให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ตราบเท่าที่เผ่ามนุษย์ของเรามีผู้อมตะมากกว่าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ อนาคตของเผ่ามนุษย์จะสดใส
“หากเราใช้ระบบตระกูล เราจะไม่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่กระจัดกระจาย เราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หากเราใช้ระบบตระกูลต่อไป เราจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขา”
“สร้างระบบนิกายและค้นหาอัจฉริยะเป็นวิธีเดียวของเรา อย่ากังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ละทิ้งอคติ และเลี้ยงดูพวกเขา จากนั้นเราจะมีความหวังที่จะเอาชนะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์!”
คํากล่าวของเทพอมตะแรกกําเนิดทําให้กลุ่มผู้อมตะตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลายคนตระหนักว่าข้อเสนอแนะของเทพอมตะแรกกําเนิดสมเหตุสมผลแต่ยังมีหลายคนที่ไม่สามารถยอมรับ
บางคนกล่าว “ระบบนิกายอนุญาตให้เราสามารถสร้างความร่วมมือได้จริงๆเช่นนั้นหรือ? เราจะสามารถสร้างความยุติธรรมได้จริงๆหรือไม่? มันจะไม่มีความขัดแย้งภายในงั้นหรือ?”
เทพอมตะแรกกําเนิดส่ายศีรษะ “ไม่ว่าจะเป็นกองกําลังประเภทใด มันย่อมมีความขัดแย้งภายในเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว ตระกูลมีพื้นฐานมาจากสายสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือการแต่งงาน นิกายตัดสินผู้คนจากความสามารถและพรสวรรค์ เป็นธรรมชาติที่อย่างหลังจะเปิดกว้างและโปร่งใสกว่า ทรัพยากรในการบ่มเพาะที่มีอยู่อย่างจํากัดจะถูกส่งมอบให้กับคนที่เหมาะสมมากกว่า นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมมากที่สุด!”
คนเดิมเปิดปากแต่ไม่สามารถโต้แย้ง เขาทําได้เพียงกล่าวอ้อมไปเรื่องอื่น “ท่านหมายความว่าตระกูลไม่สามารถหาผู้มีพรสวรรค์เช่นนั้นหรือ? ตระกูลสามารถดูดซับคนที่มีความสามารถผ่านการแต่งงานหรือรับบุตรบุญธรรม”
“เจ้าพูดถูก” เทพอมตะแรกกําเนิดพยักหน้า “แต่เจ้าสามารถแต่งงานได้กี่ครั้ง? แม้เจ้าจะรับบุตรบุญธรรมจํานวนมาก แต่พวกเขาอาจถูกเนรเทศหรือปราบปรามโดยทายาทที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดใช่หรือไม่?”
ในที่สุดคนผู้นั้นก็ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาอีก
เทพอมตะแรกกําเนิดกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าระบบนิกายจะไม่ได้รับการยอมรับในช่วงแรก ทุกคนต่างต้องการทรัพยากรในการบ่มเพาะ มันไม่เป็นไรที่เราจะมอบทรัพยากรให้กับบุตรหลาน แต่ระบบนิกายจะมอบทรัพยากรให้กับคนนอก”
“อย่างไรก็ตามนิกายไม่ได้มอบทรัพยากรให้กับผู้อื่นแบบสุ่ม แต่พวกเราจะมอบมันให้กับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นตั้งแต่กําเนิดเท่านั้น สิ่งสําคัญที่สุดพวกเขาจะต้องภักดีต่อนิกายของเรา”
“นอกจากนั้นแม้เราจะไม่มีระบบตระกูล มันก็ไม่ได้หมายความว่าบุตรหลานของพวกเจ้าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ เมื่อพวกเขาเข้าสู่นิกาย พวกเขาจะได้รับการดูแลจากพวกเจ้าเป็นพิเศษ แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนกฎของนิกายอย่างเปิดเผย”
“ตราบเท่าที่เราปกป้องกฏของนิกาย บุตรหลานหรือศิษย์ของพวกเราจะปฏิบัติตามกฎของนิกายอย่างเคร่งครัด ตราบเท่าที่เราสร้างระบบนิกายและรวมเป็นหนึ่ง ข้าเชื่อว่ามนุษย์จะมีอนาคตที่สดใส!”
“อิทธิพลของข้าไม่สามารถขยายไปถึงอีกสี่ภูมิภาคที่อยู่ห่างไกล แต่ในภาคกลาง ข้าหวังว่าทุกคนจะสร้างระบบนิกายและละทิ้งระบบตระกูลเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ข้าต้องให้ความสําคัญกับจุดหนึ่ง ผู้อมตะภาคกลางต้องสร้างหรือเข้าร่วมนิกาย พวกเจ้าไม่สามารถสร้างกองกําลังของตนเองในอนาคต หากผู้ใดฝ่าฝืน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินของข้าเป็นการส่วนตัว!”
กลุ่มผู้อมตะไม่กล้ากล่าวสิ่งใด เมื่อเทพอมตะแรกกําเนิดแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้าน
อย่างไรก็ตามเทพอมตะแรกกําเนิดไม่ได้ห้ามใช้ระบบตระกูลอย่างสิ้นเชิง ระบบนิกายจะถูกบังคับใช้กับผู้อมตะเท่านั้น สําหรับผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์และมนุษย์ธรรมดา พวกเขายังสามารถใช้ระบบตระกูลต่อไป
ก่อตั้งนิกาย พวกเขาก็ยังสามารถดแลบตรหลานของตนเอง
นี่ถือเป็นการประนีประนอมของเทพอมตะแรกกําเนิดต่อความเป็นจริง มันยังแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาและการมองการณ์ไกลของเขาอีกด้วย
เทพอมตะแรกกําเนิดกล่าวต่อ “ในฐานะผู้นํา ข้าจะทําเป็นตัวอย่าง ข้าขอสาบานว่าข้าจะสร้างนิกาย ไม่ใช่ตระกูล ข้าจะรับสาวกและถ่ายทอดประสบการณ์ของข้าแก่พวกเขาโดยไม่ลังเล!”
“หลังจากข้าตาย มิติช่องว่างของข้าจะกลายเป็นรากฐานของนิกาย มันจะไม่ถูกทิ้งไว้ให้กับบุตรหลานในสายเลือดของข้า!”
“ท่านเทพอมตะ!”
“ท่าน…”
หัวใจของกลุ่มผู้อมตะสั่นไหว
พวกเขาสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ในภาพรวมของเทพอมตะแรกกําเนิด
หากเทพอมตะแรกกําเนิดมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่ทําตาม?
“ท่านเทพอมตะที่เคารพ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะทําตามคําสั่งของท่าน!”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสร้างนิกาย ไม่ใช่ตระกูล!”
“การดํารงอยู่ของท่านเทพอมตะเป็นพรของเผ่ามนุษย์อย่างแท้จริง!”
“การติดตามท่านเทพอมตะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า”
“ท่านเทพอมตะ ข้ายังมีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการก่อตั้งนิกาย”
“อืม พูดมา” เทพอมตะแรกกําเนิดกล่าว
“ท่านต้องการสร้างนิกายประเภทใด? เราควรสร้างนิกายที่ใด? นิกายมีกฏใดบ้าง? สิ่งใดคือสิ่งสําคัญในการสร้างนิกาย?”
เทพอมตะแรกกําเนิดสูดหายใจลึก “ข้าจินตนาการถึงแนวคิดเกี่ยวกับนิกายมานานแล้ว แผนนี้เกี่ยวกับทุกแง่มุม ตัวอย่างเช่นนิกายของข้าจะมีชื่อว่าวังสวรรค์!”
เทพอมตะแรกกําเนิดตอบคําถามของกลุ่มผู้อมตะทั้งหมด
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไป
เขากวาดตามองกลุ่มผู้อมตะ “ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่าตราบเท่าที่เราก่อตั้งนิกาย แม้ข้าจะตาย เผ่ามนุษย์ก็ยังจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป หากเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พวกเขาจะพินาศอย่างแน่นอน!”
“โปรดเชื่อในตัวข้า!”
“นิกายของเราไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด!”
“ตราบเท่าที่พวกเราดําเนินการตามแผน นิกายต่างๆจะค่อยๆส่องประกายขึ้นใน ประวัติศาสตร์วังสวรรค์และนิกายของพวกเราจะโด่งดังไปทั่วโลก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะต้องหวาดกลัวพวกเรา!”
สามล้านแปดแสนเจ็ดพันหกร้อยแปดสิบเจ็ดปีต่อมา
สมรภูมิวังสวรรค์
การต่อสู้ที่ดุเดือดยังดําเนินต่อไป ถ้ำสวรรค์นิรันดรที่ได้รับการสนับสนุนจากเทพอมตะตะวันเดือดเป็นฝ่ายได้เปรียบ
อย่างไรก็ตามสมาชิกของวังสวรรค์ยังตื่นขึ้นจากสุสานอมตะอย่างต่อเนื่อง
“ผู้ใดกล้าบุกวังสวรรค์?”
“นี่เป็นผลงานของบรรชนของเรา ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าทําลายมัน!”
“ผู้คนมากมายเสียสละชีวิตของพวกเขา แต่ถ้ำสวรรค์นิรันดรที่ใช้ระบบตระกูลกลับต้องการเอาชนะวังสวรรค์งั้นหรือ? ยืม อย่าฝัน!”
“ถ้ำสวรรค์นิรันดรช่างน่ารังเกียจ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเจ้ากระทั่งปลุกระดมการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง?”
“วังสวรรค์ของเราคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง!”
“ข้าจะปกป้องวังสวรรค์ด้วยชีวิต!”
เสียงตะโกนของกลุ่มผู้อมตะที่เดินออกมาจากสุสานอมตะดังขึ้น
เช่นเดียวกับคํากล่าวของเทพอมตะแรกกําเนิดเมื่อสามล้านปีก่อน วังสวรรค์ของเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่จะกําหราบโลกทั้งใบ
เจตจํานงของเขาถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและไม่เคยเปลี่ยนแปลง
อัจฉริยะมากมายถือกําเนิดขึ้นในนิกาย คนรุ่นหลังสืบทอดและรักษาอุดมการณ์ของเขามาตล
ผู้อมตะภาคเหนือมีความกล้าหาญ แต่ผู้อมตะของวังสวรรค์ไม่ต่างจากคนบ้า แม้พวกเขาจะไม่มีวิญญาณอมตะ แต่พวกเขาจะเสียสละตนเองและลากดึงศัตรูไปตายพร้อมกัน ใบหน้าของพวกเขาไม่ปรากฏความลังเลหรือความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ตรงข้าม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความเชื่อของตนเอง
มันเจิดจ้าและเปร่งประกายมาก
“เพราะเหตุใด? เราแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เหตุใดเราถึงกลายเป็นฝ่ายถูกปราบปราม?” ปิงช่ายฉวนกัดฟันแน่น ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาว