ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ – ตอนที่ 62 น้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิง
น้ำเสียงที่ผู้แข็งแกร่งใช้พูดกับผู้อ่อนแอกว่าเช่นนี้ ทำเอาชิวเยี่ยไป๋แค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางหลุบตาลง “ข้าฟังมาว่าฝ่าบาทมิได้ชมชอบไม้ป่าเดียวกัน”
แม้การบังคับของเขาในตอนแรกจะมิได้แฝงการปลุกเร้า แต่ยามนี้ชักได้กลิ่นทะแม่งๆ เสียแล้ว
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ไม่น้อยนี่”
ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเนิบ “คนที่ท่านส่งมาอยู่ข้างกายข้าแม้มิใช่คนรับใช้ใกล้ชิดของฝ่าบาท แต่หากต้องการรู้เบาะแสบางอย่างก็มิใช่เรื่องยาก ข้าก็แค่เดาดูเท่านั้น”
พูดเช่นนี้เท่ากับเขาเองยอมรับแล้ว
ไป๋หลี่ชูมองหนุ่มน้อยบอบบางในอ้อมกอด ดวงตาที่เหมือนไร้ชีวิตสาดประกายวูบหนึ่ง พลันหัวเราะกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้ารังเกียจสตรียิ่งกว่า”
นี่เป็นการคุกคามอย่างไม่ปิดบัง
เห็นเงาของคนที่กอดตนอยู่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชิวเยี่ยไป๋ได้แต่หลุบตา ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด
ท่าทีโอนอ่อนว่าง่ายของนางทำให้ไป๋หลี่ชูพึงพอใจ เขาโน้มกายก้มหน้าลง ค่อยๆ ประกบริมฝีปากของชิวเยี่ยไป๋ สัมผัสที่อ่อนนุ่มอบอุ่นเจือกลิ่นคาวเลือดเล็กน้อย ทำให้เขาปรารถนามากยิ่งขึ้น
นุ่มลื่น อุ่นชื้น หลังจากลองลิ้มอย่างผิวเผินแล้ว เขาก็ชำแรกผ่านริมฝีปากนางอย่างไม่เกรงใจอีก
รสชาติริมฝีปากของนางนั้นให้ความรู้สึกดีกว่าที่ได้ลิ้มจากนิ้วมือของตนเสียอีก ความอบอุ่นอย่างประหลาดที่ได้รับนั้นทำให้เขารู้สึกคล้ายได้ยินเสียงโลหิตที่จับแข็งของตนเองกำลังละลายอย่างช้าๆ ราวกับเสียงเกลียวคลื่นที่ค่อยๆ ซัดเข้ามาเป็นระลอก
ในอุโมงค์ใต้ดินวันนั้น กลิ่นคาวเลือดในปากของอีกฝ่ายกระตุ้นให้เขาคิดแต่จะพิสูจน์ให้แน่ใจในสิ่งที่ตนคาดเดา แต่มิได้ค้นพบว่าที่แท้รสชาติจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
กล้ามเนื้อทั้งร่างของชิวเยี่ยไป๋พลันหดเกร็ง รู้สึกว่าคนผู้นั้นเป็นดั่งสัตว์ป่าที่กำลังแทะเล็มดูดเลียริมฝีปากนาง และขบกัดจนนางรู้สึกเจ็บ
ลมหายใจที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมเย็นเร้าอารมณ์จากกายเขาทำเอานางแทบจะหายใจไม่ทัน กลิ่นรัญจวนนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนนางรู้สึกร้อนรุ่มอ่อนยวบไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนอ่อนปวกเปียกจนไถลร่างลงสู่พื้น ไป๋หลี่ชูย่อมรู้ดีถึงความร้ายกาจของกลิ่นหอมจากกายเขา ขณะที่ยังขบกัดริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างตะกรุมตะกราม ก็ยื่นมือไปกระหวัดรอบเอวของคนในอ้อมกอดช่วยพยุงไว้ เพียงแต่ความบอบบางที่มือสัมผัสทำให้เขาตกตะลึง
ชั่วขณะที่ตกตะลึงนี้เอง ร่างของเขาพลันแข็งเกร็ง คนในอ้อมกอดพลันลืมตาขึ้น ไม่มีความเคลิบเคลิ้มในแววตาแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชา ถึงขั้นแทบจะไม่ปิดบังจิตสังหารที่แฝงอยู่
ชิวเยี่ยไป๋ถอยออกมาจากอ้อมแขนเขา ใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากตนเองอย่างสะอิดสะเอียน แล้วเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ฝ่าบาท ท่านว่าให้ข้าสังหารท่านดี หรือท่านถูกข้าสังหารดี”
ทางเลือกทั้งสองล้วนเป็นความตาย
ไป๋หลี่ชูสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงจ้องมองนาง ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวไป๋ฝีมือดีถึงเพียงนี้ ถึงกับอดทนจนถึงตอนนี้จึงค่อยลงมือ”
นางเงยหน้ามองเขาอย่างเหยียดหยาม “นั่นเป็นเพราะฝีมือของฝ่าบาทใช้ไม่ได้เอง ทำให้ผู้อื่นทนไม่ไหว”
ถึงอย่างไรก็ท่องยุทธภพมานานปี หากนางไร้ฝีมือกระทั่งป้องกันตัวเองไม่ได้ คงถูกลบชื่อออกจากยุทธภพไปนานแล้ว
ใบหน้าของไป๋หลี่ชูแข็งค้าง นัยน์ตาเย้ายวนที่หรี่ลงดูอึมครึมราวกับมีหมอกดำปกคลุม ยิ่งชวนให้สยดสยอง
ชิวเยี่ยไป๋กลับดูเหมือนไม่เห็นแววตาน่ากลัวของเขา พลันเลิกคิ้วคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “หรือว่าฝ่าบาทยังเป็นไก่อ่อนที่ไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่า”
ดูจากโรครักสะอาดของไป๋หลี่ชูแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ไป๋หลี่ชูสบนัยน์ตาเฉียบคมเย็นเยียบของนาง หมอกดำในดวงตายิ่งแผ่ปกคลุมไปทั่ว กล่าวเสียงเย็นว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าคิดว่าสังหารข้าได้หรือ”
ความเย็นเยียบของไป๋หลี่ชูทำให้ชิวเยี่ยไป๋หวนคิดถึงหัวงูกู่ที่มุดเข้ามาในร่างตน ในใจพลันหนาวสะท้าน หรือว่างูสองหัวนั่นจะเป็นกู่ร่วมชีพที่หายากตามคำร่ำลือของชาวเหมียว
เพียงคิดว่าตนต้องร่วมชีวิตเดียวกับไอ้โรคจิต ในใจก็รู้สึกเดือดดาล แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า มีเพียงแววตาเย็นเยียบที่วาวโรจน์ยิ่งกว่าเดิม
เดิมคิดว่าดึกดื่นค่อนคืน อดทนกับการลวนลามของเขาหน่อย แล้วจะได้ฉวยโอกาสขจัดมารจิตใจนี้เสีย นึกไม่ถึงว่ากลับไม่อาจฆ่าเขาได้!
ในเมื่อยังฆ่าไป๋หลี่ชูตามแผนไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น…
นางหัวเราะเบาๆ พลันขยับเข้าไปใกล้เขา ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ฝ่าบาทจะโมโหไปไย ท่านรักนวลสงวนตัวมายี่สิบกว่าปี ยากนักที่จะมีใจหวั่นไหวต่อผู้ใด ในฐานะสหายของท่าน ข้าย่อมต้องให้ท่านได้สมใจ เพียงแต่ฝีมือของท่านช่างอ่อนหัด เรื่องบนเตียงคงยิ่งไม่ประสาเป็นแน่ เช่นนั้นก็ให้ข้าสอนท่านเถิด”
ไป๋หลี่ชูอึ้งงัน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋จะเปลี่ยนท่าทีโดยสิ้นเชิง ทว่าวาจาที่กล่าวออกมาล้วนเต็มไปด้วยเจตนาลูบคม ซ้ำยังแฝงความหมายบางอย่างที่ฟังแล้วทำให้ดวงตาเขาทอประกายเย็นเยียบ
“ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าจะทำอะไร”
เห็นท่าทีเช่นนี้ของไป๋หลี่ชู นางก็เบิกบานใจยิ่งนัก นางเลียนแบบท่าทางของเขาเมื่อครู่ เชยคางเขา เอ่ยว่า “ไม่ทำอะไรหรอก ข้าเพียงไม่ชอบสยบอยู่ใต้ร่างใคร แต่ใช่ว่าจะไม่ชอบควบขี่คนงาม ฝ่าบาทงามล้ำถึงเพียงนี้ คิดดูแล้วหากได้ขึ้นควบคงน่าตื่นเต้นไม่น้อย ข้าจะทำให้ฝ่าบาทถึงใจแน่นอน”
ว่าแล้วนางก็ยื่นมือจี้สกัดจุดใบ้ของไป๋หลี่ชูอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า แล้วดึงคอเสื้อเขา ลากขึ้นเตียงหลัวฮั่น[1]สลักลายบุปผาอย่างหยาบคาย
ชิวเยี่ยไป๋เป็นหญิง หากจะเคลื่อนย้ายตัวไป๋หลี่ชูไม่ไหวย่อมสมเหตุสมผล แต่เพราะนางมีวิชายุทธ์ ย่อมใช้กำลังภายในอุ้มไป๋หลี่ชูขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แม้กระนั้นนางกลับเลือกใช้วิธีลากไป เพราะเจตนาจะทรมานไป๋หลี่ชู
เนื่องจากไป๋หลี่ชูตัวสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ พอถูกนางลากเช่นนี้ ประกอบกับเคลื่อนไหวไม่ได้ ย่อมชนโน่นกระแทกนี่เป็นธรรมดา เสียงแขนขากระแทกข้าวของฟังแล้วชวนให้รู้สึกเจ็บไปด้วย
ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋กำลังมีไฟโทสะสุมอก จึงรู้สึกสะใจ
แต่พอเห็นใบหน้าเยียบเย็นเฉยเมยของไป๋หลี่ชู ความรู้สึกสะใจหลังจากใช้กำลังภายในสามส่วนโยนเขาลงบนเตียงหลัวฮั่นก็กลายเป็นราดน้ำมันลงบนกองเพลิงทันที
“อ๊ะ ข้าก็ลืมไปเสียได้ว่าวันนั้นฝ่าบาทข้อไหล่หลุด ยังขยับให้เข้าที่ได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด วันนี้แค่เจ็บเล็กเจ็บน้อยหวังว่าฝ่าบาทคงไม่ถือสาเยี่ยไป๋” แม้เพลิงโทสะในใจจะลุกโหม แต่นางมิได้แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงนั่งที่ขอบเตียง ขยับร่างของไป๋หลี่ชูให้เข้าที่เข้าทาง ถอดเสื้อคลุมออก ตามด้วยรองเท้าและถุงเท้า
สายตาของนางกวาดผ่านเท้าขาวผ่องราวหิมะของไป๋หลี่ชู แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ไอ้โรคจิตนี่ แม้แต่เท้าก็ยังงดงามชวนมองยิ่งกว่าเท้าของสตรีเสียอีก
ไป๋หลี่ชูไม่ได้เคลื่อนไหว สีหน้านิ่งเรียบ ดวงตาเย้ายวนลึกล้ำจับจ้องที่นาง ทั้งยังปราศจากอารมณ์ใดๆ ในแววตา เพียงแค่จับจ้องมาอย่างชอบกล จ้องจนน่าขนลุก
ถูกจัดการจนไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ นอนสิ้นสภาพอยู่บนเตียงเช่นนี้แล้ว แต่ยังใช้สายตาจ้องจนคนตัวสั่นอยากคุกเข่าให้ได้อีก เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
นางยิ้มเย็น จ้องตอบดวงตาน่ากลัวนั้น พลางชะโงกเข้าใกล้ ปลายนิ้วไล้ไปตามสาบเสื้อของเขา ปลดกระดุมทีละเม็ด “ฝ่าบาทจ้องเอาๆ ด้วยสายตาเช่นนี้ ทำเอาข้าคันยุบยิบในหัวใจไปหมด แต่ดวงตาของท่านน่าเกลียดจริง เห็นแล้วน่าควักออกมานัก”
——
[1] เป็นเครื่องเรือนโบราณของจีนชนิดหนึ่ง ใช้เป็นตั่งสำหรับนั่งหรือนอนเล่น