ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ – ตอนที่ 83 โง่แล้ว (4)
เจิ้งจวินคิดไปเองว่าตนเองกรีดร้อง ในความเป็นจริงเขาเพิ่งเปล่งเสียง เสียงนั้นก็สะอึกอยู่ในลำคอ และทิศทางที่เขาหงายหลังก็คือ…บ่ออุจจาระ
กว่าเจิ้งจวินจะเพิ่งรู้ตัวในเรื่องนี้ ก็ได้กลิ่นสุดสะท้านชวนพรากขวัญกระชากวิญญาณเสียแล้ว
เขาจึงได้แต่หน้าเขียว…เตรียมรับกองอาจม!
ทว่า มือข้างหนึ่งพลันคว้าคอเสื้อเขาไว้ ออกแรงดึงเบาๆ อย่างเหมาะสม พริบตานั้นเขาก็พ้นจากความสิ้นหวังที่ต้องจมกองปฏิกูล!
หลังจากเจิ้งจวินผู้นี้รอดตายจากหายนะ พลันหอบหายใจอย่างอกสั่นขวัญแขวน เห็นชิวเยี่ยไป๋กำลังยิ้มให้อย่างอบอุ่นราวกับสายลมฤดูวสันต์ นุ่มนวลสุภาพ “ใต้เท้าตูกง ข้าน้อยไม่ใช่ผี เป็นเชียนจ่งแห่งกองคั่นเฟิง ชิวเยี่ยไป๋!”
พริบตานั้นเขาเองก็มิรู้ว่าเกิดเพลิงโทสะหรือว่ารู้สึกอับจนใจจะมากกว่ากัน
ชิวเยี่ยไป๋พลันได้คิดอย่างฉับไว ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ใต้เท้าตูกง เราช่างเป็นผู้เลื่อมใสต่ออาจารย์ปู่ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ นี่คือบุญสัมพันธ์ คิดดูแล้วคืนนี้เป็นวาสนาได้พบกันโดยบังเอิญ ร่วมชมดาวเดือนกับตูกง สนทนากันตั้งแต่บทกลอนกวีจนถึงปรัชญาชีวิต”
“…” เจิ้งจวินตะลึงงัน
นี่เป็นการคุกคามกันโจ่งแจ้งอย่างไร้ยางอายชัดๆ!
จะมีใครบังเอิญพบกับใครกลางดึก ขับถ่ายไปพลางถกกันถึงเรื่องเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้หลังจากเจิ้งจวินคิดสะระตะแล้ว จึงบอกว่าพรุ่งนี้จะเรียกตัวชิวเยี่ยไป๋เข้าพบ
นางรีบคารวะอย่างนบนอบเป็นที่สุด “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยคงต้องกลับไปพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จะได้เตรียมเข้าพบตูกง”
เจิ้งจวินมองตามหลังศีรษะนางด้วยจิตใจที่สับสน ร้องฮึ่มคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
และแล้วเช้าวันรุ่งขึ้น หลังกินอาหารแห้งจากห่อสัมภาระเป็นมื้อเช้าแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ก็ถูกเรียกตัวเข้าพบ!
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าตูกงและเฉินกงกง!” ชิวเยี่ยไป๋ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
เจิ้งจวินมองนางด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “นั่ง!”
เฉินเฮ่อนึกไม่ถึงว่าเจิ้งจวินถึงกับเรียกตัวชิวเยี่ยไป๋เข้าพบ แต่ในเมื่อผู้บังคับบัญชาออกปากแล้ว เขาย่อมไม่ควรพูดมากเป็นธรรมดา จึงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่รองจากเจิ้งจวิน กวาดตาเขม็งใส่ชิวเยี่ยไป๋แวบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นชาแต่ไม่พูด
“เจ้าจะพบข้า เพราะเรื่องกองคั่นเฟิงใช่หรือไม่” เจิ้งจวินมิได้อ้อมค้อมต่อชิวเยี่ยไป๋ เพียงเอ่ยเสียงเย็นชา
หลังชิวเยี่ยไป๋นั่งลงก็ถอนใจคราหนึ่ง “ตูกงคาดเดาได้แม่นยำดุจทวยเทพ เป็นเช่นนี้จริง”
เจิ้งจวินกล่าวเนิบนาบ “เรื่องนี้สอบสวนชัดเจนแล้ว ชิวเชียนจ่งยังมีอะไรจะพูดอีก”
เฉินเฮ่อแค่นหัวร่ออย่างไม่เกรงใจว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าควบคุมลูกน้องไม่ดีเอง เดิมทีก็ต้องได้รับโทษด้วย เห็นแก่หน้าพระพันปีจึงละเว้นเจ้า แต่จงอย่ามาพัวพันเซ้าซี้อีก”
ชิวเยี่ยไป๋มองพวกเขาแวบหนึ่ง รู้ดีว่าพวกเขาจะไม่สืบสาวราวเรื่องต่อไป เรื่องราวในวงราชการส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ เบื้องบนไม่อยากสืบสาวให้มากความ พวกเขาถือว่าก็ให้จบลงแค่นี้
จะเป็นการปรักปรำก็ดี ใส่ใจก็ดี เจ้าต้องแบกรับไปตลอดชาติ
นางรู้สึกว่าจิตใจหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นตาร้ายที่สุดตามที่นางนึกไว้ เมื่อวานนี้นางเตรียมพร้อมมาถูไถกับพวกเจิ้งจวินที่นี่ ก็เพื่ออยากรู้ท่าทีของผู้บัญชาการสูงสูดของซือหลี่เจียน
ยามนั้นตอนพบหน้ากัน ท่าทางของเจิ้งจวินเยือกเย็นผิดปกติ นางสังหรณ์ใจว่าคงไม่ค่อยดีแล้ว
แต่…
ถ้าเพียงแค่นี้ก็แล้วไป เกรงก็แต่ว่ายังมีกระบวนท่าอื่นตามหลังอีก
นางหลุบตาลง ลุกขึ้นประสานมือคารวะ “ในเมื่อท่านข้าหลวงตัดสินแล้ว ข้าน้อยย่อมน้อมรับ”
เจิ้งจวินกับเฉินเฮ่อนึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะพูดง่ายถึงเพียงนี้ จึงอดตะลึงไม่ได้
เห็นชิวเยี่ยไป๋กำลังจะอำลา
ดวงตาเรียวยาวของเจิ้งจวินฉายประกายเย็นเยียบ “ช้าก่อน ชิวเชียนจ่ง ข้ากับเฉินกงกงยังมีเรื่องจะบอกเจ้า นั่งลง”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังน้ำเสียงที่คาดเดามิได้ก็สะดุ้งในใจ กวาดตามองดูเจิ้งจวินกับเฉินเฮ่อแล้วรับคำ “ขอรับ!”
ชั่วจิบน้ำชาจอกหนึ่ง ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็ลุกขึ้นและจากไป
เห็นเงาร่างที่จากไปของชิวเยี่ยไป๋ เฉินเฮ่อก็กล่าวกับเจิ้งจวินอย่างลังเลว่า “ท่านข้าหลวง เช่นนี้ท่าน…จะกราบทูลพระพันปีอย่างไร”
พระพันปีสั่งไว้แล้วนี่นา จะต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างลากชิวเยี่ยไป๋ลงจากตำแหน่งให้ได้
แม้จะไม่รู้ว่าพระพันปีผู้เป็นคนให้ชิวเยี่ยไป๋นั่งตำแหน่งนี้แท้ๆ เหตุใดจึงจะจัดการกับเขา แต่ในเมื่อเป็นรับสั่งของพระพันปี แล้วพวกเขามาตัดสินใจลับหลังแบบขัดคำสั่งเช่นนี้ เกรงว่าคงกราบทูลพระพันปีได้ยาก
เจิ้งจวินยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาที่ค่อนข้างขุ่นมัวฉายแววคมกริบ ยิ้มด้วยมุมปากกล่าวว่า “เมื่อคืนข้าคิดแล้วคิดอีก นี่อาจเป็นโอกาสของเรา”
เฉินเฮ่อฟังแล้วเบิกตากว้าง กล่าวอย่างงงงันว่า “ท่านคิดว่าชิวเยี่ยไป๋ได้หรือ…ถ้าเกิดไม่สำเร็จเล่า”
เจิ้งจวินกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จ เกี่ยวอะไรกับเรา ในเมื่อเข้าซือหลี่เจียน ย่อมเป็นคนของซือหลี่เจียน เป็นหรือตายเกียรติยศหรืออัปยศล้วนเป็นของซือหลี่เจียน ขายชีวิตให้ซือหลี่เจียนมิได้ทำให้เขาคับข้อง”
คำพูดเหมือนไม่ใส่ใจนี้ทำเอาอากาศรอบข้างผนึกตัวหนักอึ้งเล็กน้อย
หลังชิวเยี่ยไป๋กลับจากเสินอู่ถัง ก็เรียกเป๋าเป่ากับโจวอวี่ไปหารือ
เห็นนางสีหน้าหนักอึ้ง โจวอวี่ก็อดวิตกไม่ได้ “หรือใต้เท้าซือถูไม่ไหวแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า “เปล่า ท่านข้าหลวงรับปากพวกเราแล้ว ใต้เท้าซือถูจะไม่มีภัยถึงชีวิตเป็นการชั่วคราว”
โจวอวี่อึ้งไป สีหน้ามิได้ดีขึ้น “แล้ว…แล้วท่านข้าหลวงมีบัญชาอย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบดูเขาแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าคนหน้าตาหล่อเหลาคนนี้พอจะมีสมองอยู่บ้าง ดูแล้วค่อยสบายตาหน่อย จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านข้าหลวงเตรียมจะยกเลิกกองคั่นเฟิง”
ยกเลิกกองคั่นเฟิง
ระเบิดลูกนี้ทำเอาโจวอวี่หน้าเปลี่ยนสี แม้แต่เป๋าเป่าก็ขมวดคิ้ว
แม้กองคั่นเฟิงจะอยู่ในสภาพมีก็ได้ไม่มีก็ได้มานานแล้ว เหลือแต่ชื่อโดยไร้ประสิทธิภาพ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องดำรงอยู่ชนิดที่จะขาดเสียมิได้ เพราะที่นี่เป็นกองขยะสำหรับรับพวกผู้ลากมากดี
คนในที่นี้ล้วนเป็นพวกบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่หยิบหย่งไร้ความรู้ความสามารถใดๆ และพวกอันธพาล ล้วนเป็นพวกมีเส้นมีสายจึงจะเข้ามาได้
ถ้าถูกเพิกถอน กองทิงเฟิงกับกองปู่เฟิงจะยอมรับพวกตัวถ่วงความเจริญพวกนี้หรือไม่ แถม
กองปู่เฟิงกับพวกเขาเป็นอริกันถึงขนาดนี้ ต่อให้เข้าไปได้ ก็รังแต่โดนบีบจนตายคาที่เอง!
และคนอย่างโจวอวี่ที่ตำแหน่งต่ำต้อย ถ้าไปสองที่นั้นคงเป็นได้แค่ลูกน้องปลายแถว ต่อให้เป็นน้องเขยของตู้เชียนจ่ง แต่เขาเป็นคนชอบทำอะไรตามอำเภอใจ จะทนอยู่แบบโดนรังแกข้ามหัวทุกวันได้อย่างไร
ท่าทางของโจวอวี่เหมือนคนสิ้นหวัง กัดฟันกล่าวว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือขอรับ พวกเราต้องโดนยุบจริงหรือ”
แม้การดำรงอยู่ของกองคั่นเฟิงจะมีความหมายไม่มากนัก แต่การจู่โจมเช่นนี้เท่ากับเอาชีวิตชัดๆ!
ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ท่านข้าหลวงยังเหลือทางให้ข้าทางหนึ่ง”
โจวอวี่ตาลุกวาว “ทางอะไรขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋หยิบฎีกาฉบับหนึ่งวางบนโต๊ะ กล่าวเนือยๆ ว่า “ท่านข้าหลวงจะให้พวกเรากับกองปู่เฟิงและกองทิงเฟิงไปสืบคดีหนึ่ง ถ้าพวกเราปิดคดีได้ก่อนกองทิงเฟิงกับกองปู่เฟิง ท่านข้าหลวงจะช่วยกราบทูลให้ไม่ยุบหน่วยงานเรา!