ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ – ตอนที่ 78 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (9)
สตรีสูงส่งตระกูลใหญ่กับหญิงชาวบ้านธรรมดา หนึ่งเป็นไข่มุก หนึ่งเป็นตาปลา ไม่มีแพรพรรณอาหารหยก[1] นางจะทนได้อย่างไร!
ชิวซั่นหนิงอาละวาดไปรอบหนึ่ง ทำเอาเฟิงซื่อแทบจะเป็นลม ชิวเยี่ยไป๋ปล่อยให้นางโวยวายกับเฟิงซื่อ กระทั่งเฟิงซื่อน้ำตาตกก็ยังไม่ยอมดุด่าบุตรสาวคนนี้เลยสักครั้ง
ชิวเยี่ยไป๋ไปที่หอซิ่งอวี่ของนาง ทิ้งคำพูดเย็นชาว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะช่วยตามล้างตามเช็ดให้เจ้า แต่เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทน หากเจ้าไม่ยอมติดตามเป่ยเทียนซือไท่จริงๆ เช่นนั้นข้าจะเชิญฮูหยินใหญ่ให้ช่วยหาที่เหมาะๆ สร้างสุสานให้เจ้า เอาทำเลที่ให้เจ้าได้มองเห็นความตระการตาของจวนองค์ชายสามทุกวันดีหรือไม่”
ชิวซั่นหนิงจึงได้เงียบลง แต่ความคับแค้นและสิ้นหวังถูกกดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่มีทางระบายออก สุดท้ายจึงได้แต่เอาทุกอย่างไปลงที่ชิวซั่นจิง กล่าวโทษที่นางเป็นคนวางแผนให้ตนปีนขึ้นเตียงองค์ชายสามตั้งแต่แรก และถือโอกาสยามที่ ‘ดูแล’ ชิวซั่นจิงทุกวัน ลงมือทำร้ายนางอย่างดุร้าย ระบายแค้นและความอัดอั้นทั้งหมดในใจลงบนตัวชิวซั่นจิง
พวกชิวเฟิ่งหลานไหนเลยจะรู้ว่าระหว่างน้องสาวสองคนที่เป็นบุตรอนุจะมีเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงมองว่าชิวซั่นหนิงกับชิวซั่นจิงรักใคร่ผูกพันกันดี นี่เป็นน้ำใจของชิวซั่นหนิงที่มีต่อชิวซั่นจิงก่อนที่จะจากไป ชิวซั่นจิงทุกข์ทรมานแต่ไม่อาจพูดได้ ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสชาติที่ตนตกเป็นผักปลาคนอื่นเป็นมีดเขียง คิดสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว
จากที่เสี่ยวชีสืบมา บนตัวชิวซั่นจิงนอกจากร่างกายส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีจุดใดเป็นชิ้นดีเลย ความโหดเ**้ยมของชิวซั่นหนิงทำให้เสี่ยวชีอดทอดถอนมิได้ว่า “แม่นางน้อยวัยย่างสิบห้าที่งดงามราวหยกบุปผาคนนี้ เหตุใดจึงโหดเ**้ยมอำมหิตได้ขนาดนี้ เป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกันแท้ๆ”
ไม่เหมือนกับชิวเยี่ยไป๋ พี่ชายที่ไม่มีความรู้สึกผูกพันใดๆ ด้วยที่จู่ๆ ก็โผล่มา ความสัมพันธ์ระหว่างชิวซั่นจิงกับชิวซั่นหนิงควรจะเรียกได้ว่าไม่เลว
ชิวเยี่ยไป๋เพียงยิ้มอย่างเฉยชา ชิวซั่นหนิงถูกบิดาไร้ประโยชน์ของนางเลี้ยงดูราวกับบุตรภรรยาเอก แต่มีชะตาเป็นบุตรอนุ จึงทะเยอทะยานเกินฟ้า จิตใจที่บิดเบี้ยวของนางมิใช่บ่มเพาะขึ้นในวันสองวัน เพียงแต่เรื่องในครั้งนี้ได้กระตุ้นด้านที่วิปริตของนางให้แสดงออกมา
…
เรื่องราวในสกุลชิวจบลง ชิวเยี่ยไป๋คิดว่าสมควรกลับไปที่ซือหลี่เจี้ยนเสียที นางเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เดือนเดียว เพิ่งจะสะสางเงื่อนงำไปได้บ้าง กลับมาที่จวนครานี้ก็เสียเวลาไปครึ่งเดือน นางไม่วางใจจึงให้เสี่ยวเหยียนจื่อกลับไปซือหลี่เจี้ยน ให้เขาคอยดูสถานการณ์ภายนอก ส่วนเป๋าเป่าที่ปลอมเป็นเจี่ยงเฟยโจวคอยดูภายใน แม้กระนั้นรากฐานของตนก็ยังไม่มั่นคง ออกมานานวันเกรงว่าจะทำให้ใจคนผันแปร และอาจเกิดเรื่องได้
นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งจะคิดเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนจื่อก็รีบรุดมาหาเสียแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเสี่ยวเหยียนจื่อคุกเข่าคำนับสีหน้าวิตกกังวล ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ นางดึงเสี่ยวเหยียนจื่อลุกขึ้นถามว่า “มีอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เสี่ยวเหยียนจื่อแทบจะร่ำไห้ คุกเข่ากระแทกพื้นอีกครั้ง “ใต้เท้า ท่านต้องกลับไปแล้ว ซือถูอี้จ่างถูกขังอยู่ในห้องลงทัณฑ์ พี่น้องของเราหลายคนในกองคั่นเฟิงถูกโบยจนลุกไม่ไหว รอให้ใต้เท้ารีบกลับไปช่วยจัดการให้พวกเขาขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋มุ่นคิ้ว ตบไหล่เขาเบาๆ ให้เสี่ยวเหยียนจื่อรอ จากนั้นจึงไปพบชิวเฟิ่งหลาน แจ้งเขาว่าตนต้องไปแล้ว
ชิวเฟิ่งหลานได้ยินว่าเป็นเรื่องราชการก็มิได้ขัดข้อง บอกให้นางรีบไป หากชิวซั่นจิงอาการดีขึ้นแล้วจะส่งคนไปตามตัวเขา
ด้านชิวเฟิ่งฉูซึ่งถูกชิวเยี่ยไป๋ถีบตกน้ำนั้น คับแค้นจนร่ำไห้ รู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด แน่นอนว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมนำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ไปฟ้องพี่ใหญ่ วันๆ ได้แต่หลบเลี่ยงดาวพิฆาตชิวเยี่ยไป๋ หารู้ไม่ว่าที่ชิวเยี่ยไป๋กล้าลงมือกับเขา ก็เพราะคาดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องไม่กล้าไปฟ้องใครแน่
บัดนี้พอได้ยินว่าเจ้าดาวพิฆาตจะไปแล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวกันก็สาปส่งตามประสาคนถ่อย ขอให้ไอ้ชิวเยี่ยไป๋กลายเป็นขันทีในเร็ววัน จะได้สมกับที่เป็นเชียนจ่งของซือหลี่เจี้ยน
มีเพียงเฟิงซื่อที่ยังอาลัยอาวรณ์ ชิวเยี่ยไป๋ต้องปลอบนางจนให้คลายใจ
…
ชิวเยี่ยไป๋รีบกลับไปยังซือหลี่เจี้ยน เพิ่งจะย่างเท้าเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องอย่างดูแคลน
นางทำเหมือนมองไม่เห็น มุ่งหน้าไปยังกองคั่นเฟิง เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายรอบกระทั่งมาถึงกองคั่นเฟิง จึงได้รู้ว่าเหตุใดองค์รักษ์ฉ่างเว่ยพวกนั้นถึงได้มองนางด้วยสายตาสมเพชระคนเยาะหยัน
เท้ายังไม่ทันก้าวเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังระงม
“โอ๊ย…เจ็บจะตายแล้ว!”
“เบาๆ หน่อย ทำเลือดข้าไหลออกมาอีก ข้าจะสับเจ้า!”
“บัดซบเอ๊ย ยังมาทำปากเก่งกับข้าที่นี่ได้ ทีตอนนั้นทำไมไม่สู้มันกลับเล่า!”
“ไอ้หยา เฮ้ย!”
ชิวเยี่ยไป๋นิ่วหน้า สีหน้าก็เขียวคล้ำอย่างอดไม่อยู่ ผงะถอยหนึ่งก้าว
เมื่อครู่นางตาลายกระมัง
ตาลายแน่นอน!
ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงเห็นแต่ก้นเต็มพื้นไปหมด!
เสี่ยวเหยียนจื่อกระแอมขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำกล่าวว่า “นั่น…นั่น…เป็นเพราะคนที่ได้รับบาดเจ็บมีมาก คนที่ถูกโบยยิ่งมากกว่า หมอที่ถูกส่งมารักษาก็มีเพียงสองสามคน จึงต้องเปิดก้นนอนรออยู่ในลานให้หมอรักษาได้สะดวกขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋คลึงขมับ แม้นางจะมิใช่สตรีในหอห้อง ทั้งยังเปิดซ่องชายบำเรอได้อย่างไม่สนใจอะไร แต่ก็ไม่เคยพบเห็นภาพพิสดารที่มีแต่ก้นเปลือยๆ เต็มลานเช่นนี้ ทั้งยังเป็นก้นเปลือยเปล่าของบุรุษ ทำเอานางอยากชักขาวิ่งหนีไปเสียให้พ้น
แต่เห็นสีหน้าร้อนรนของเสี่ยวเหยียนจื่อ นางก็แข็งใจสั่งว่า “ไป! นำทาง!”
เสี่ยวเหยียนจื่อลังเล จากนั้นก็บิดชายเสื้อตนเองอย่างเขินอาย “ใต้เท้า…นี่…คนเขา…”
ชิวเยี่ยไป๋เดิมก็ลำบากใจอยู่แล้ว จึงตวาดใส่หน้าเสี่ยวเหยียนจื่อ “ไสหัวไป นั่นเป็นก้นผู้ชายทั้งนั้น เจ้าจะอายหาอะไร หรือก่อนหน้านี้เจ้ามิได้อยู่ที่นี่!”
เห็นสีหน้าอึมครึมของชิวเยี่ยไป๋ เสี่ยวเหยียนจื่อก็สั่นสะท้าน รีบกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยมิได้พักที่นี่…” เห็นสีหน้าชิวเยี่ยไป๋ยิ่งบึ้งตึง เขาจึงหุบปาก แล้วรีบนำเข้าไปแต่โดยดี
“ใต้เท้าเชียนจ่งกลับมาแล้ว!”
ในลานมีเสื่อปูไว้ระเกะระกะ เสื่อนี้เดิมพวกคนในกองคั่นเฟิงใช้ปูตอนเสพสมกับชายบำเรอหญิงนางโลม ตอนนี้จึงนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี คนที่ได้รับบาดเจ็บล้วนนอนอยู่บนเสื่อ ทุกคนเปลือยก้นร้องโอดโอย
ชิวเยี่ยไป๋กัดฟัน ยกชายชุดคลุมสาวเท้ายาวๆ เข้าไป เดิมคิดจะเดินอย่างเคร่งขรึมผึ่งผาย กล้าหาญ…ไม่ใช่สิ…อย่างน่าเกรงขาม นึกไม่ถึงว่าจะก้าวยาวไปหน่อย ขาข้างหนึ่งเหยียบบนอะไรบางอย่างนุ่มๆ จากนั้นก็ลื่นไถล
“โอ๊ย…!” เสียงร้องดังแหวกอากาศขึ้นมา
“มารดาเอ๊ย ใครมันเหยียบก้นข้าวะ ข้าจะสับมัน!”
“เจ็บ…เจ็บโว้ย!”
ชิวเยี่ยไป๋นึกไม่ถึงว่าข้างประตูก็มีคนนอนตากก้นอยู่ ซ้ำตกใจเพราะเสียงกรีดร้องที่ไม่เหมือนมนุษย์นั้น ร่างซวนเซจะล้มมิล้มแหล่ หากไม่ได้เสี่ยวเหยียนจื่อตาไวมือเร็วคว้าแขนนางไว้ มีหวังได้นั่งจ้ำเบ้าลงบนกองก้นเป็นแน่
——
[1] หมายถึงชีวิตหรูหรา