ช่างเอาใจใส่นางเหมือนดั่งเป็นสหายเก่ากันเหลือเกิน
ชิวเยี่ยไป๋คลึงที่หว่างคิ้ว ตอบเนือยๆ ว่า “ไม่เป็นไร แค่เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ แต่ไม่มีผลต่อการให้เลือดแก่ฝ่าบาทหรอก”
แม้ซวงไป๋จะยิ้มหน้าระรื่นอยู่เสมอ ดูแล้วน่าสบายใจ แต่นางก็รู้ดีว่าที่ซวงไป๋ใส่ใจคืออะไร วันนี้นางขี้เกียจเออออด้วย
ดูเหมือนซวงไป๋จะไม่รู้สึกถึงคำพูดแดกดัน กลับผงกศีรษะยิ้มระรื่นกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
จากนั้นเขาก็จัดเรียงสำรับอาหารเช้าบนโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ใต้เท้ารับประทานอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยอาบน้ำเถิด ข้าน้อยจะมาเชิญท่านไปตำหนักหน้าช้าสักหน่อย”
ชิวเยี่ยไป๋มองสำรับอาหารบนโต๊ะคราหนึ่ง ยังคงเป็นอาหารหลากหลายอย่างหรูหราเช่นเคย มีเนื้อปลาม้วนพันสาหร่ายหยก ไข่แดง ฮะเก๋าเนื้อทอง กินคู่กับข้าวต้มหูฉลามหอมเข้มข้นน้ำใสแวววาว แต่ละอย่างประณีตทั้งรูปรสและกลิ่น ยังมีอาหารเรียกน้ำย่อยเป็นไชเท้าดองกรอบจานเล็กด้วย
แต่วันนี้มิทราบเพราะเหตุใด อาหารเต็มโต๊ะนี้กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมื้อสุดท้ายของนักโทษประหาร
แต่ไรมานางไม่เคยหาเรื่องกลัดกลุ้มโดยใช่เหตุอยู่แล้ว ไม่ว่าแท้จริงแล้วไป๋หลี่ชูมีเจตนาใดกันแน่ นางยังคงไม่อยากรังแกกระเพาะของตนเอง หลังล้างหน้าล้างตาแล้ว นางจึงนั่งลงดื่มกินแต่โดยดี
วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร นางรู้สึกอากาศอบอ้าวมาก หลังกินอาหารเช้าไม่นานก็เหงื่อออกท่วมตัว นางจึงสั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้อาบเช่นเดียวกับเมื่อสองวันที่ผ่านมา
ขันทีน้อยรู้สึกว่าใต้เท้าคนนี้เป็นคนประหลาด มีธารน้ำเย็นแท้ๆ อากาศร้อนอย่างนี้ลงแช่สบายตัวออก กลับสั่งให้เตรียมน้ำอุ่น
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมไม่อธิบายต่อพวกเขา แม้นางจะเคยชินกับการแต่งกายเป็นชาย แต่ก็ไม่เคยลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นหญิง ธารน้ำเย็นแม้จะดี แต่แช่บ่อยเข้าจะไม่ดีต่อสุขภาพของสตรี
จนกระทั่งพวกขันทีน้อยผสมน้ำอุ่นจนพอดี ชิวเยี่ยไป๋จึงไล่พวกเขาออกไป แล้วลงแช่ในน้ำอุ่นอย่างสบายใจ จนกระทั่งแช่อาบเสร็จก็รู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย
ซวงไป๋ยืนรอนางที่ห้องรับแขกราวเค่อ[1]หนึ่งแล้ว พอเห็นนางก็ยิ้มแย้มกล่าวว่า “เรียนเชิญใต้เท้า ฝ่าบาทรออยู่แล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า แล้วตามเขาไปที่ตำหนักหน้า
ระหว่างทาง ทั้งสองคนที่เคยพูดคุยกันอย่างพออกพอใจกลับต่างคนต่างเงียบ
เดินไปครู่หนึ่ง ก็เห็นตำหนักที่ตระการตาอยู่รางๆ ไม่ไกล ซวงไป๋พลันกล่าวว่า “ใต้เท้าคิดว่าธารน้ำของตำหนักกวงหมิงเป็นอย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋ชะงัก ดวงตาฉายแววกังวล กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เป็นธารน้ำที่รับพลังจากฟ้าดิน ย่อมเป็นน้ำที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นภูเขาชิวซานเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นพุน้ำร้อนหรือน้ำเย็นล้วนดีที่สุด”
ซวงไป๋แย้มยิ้มกล่าวว่า “ธารน้ำเกิดจากฟ้าดิน เดิมเป็นของธรรมชาติ แต่หากมิมีผู้ชื่นชม ย่อมไหลไปตามโขดหินดินตม สุดท้ายก็กลายเป็นน้ำธรรมดา ต้องได้รับการชื่นชมและใช้สอยโดยผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จึงจะได้รับการยกย่อง”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของซวงไป๋ กล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าคิดว่าฟ้าดินก่อเกิดสรรพสิ่ง มิได้หวังให้มีใครมายกย่อง ดังนั้นกล่าวกันว่าทะเลย่อมรับน้ำร้อยสาย ไม่ว่าจะเป็นธารน้ำประเภทใดสุดท้ายก็เฉกเดียวกัน”
ซวงไป๋พลันหยุดเท้า หันมามองนางอย่างเย็นชา ครู่หนึ่งจึงหัวร่ออย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ใต้เท้า ข้าน้อยคิดว่าผู้รู้สถานการณ์จึงจะเป็นวีรบุรุษ ผู้คล้อยตามสถานการณ์จึงจะเป็นผู้ทรงปัญญา”
พูดจบเขาก็หันกลับเดินสู่ตำหนักหน้าต่อไป ไม่พูดอะไรกับชิวเยี่ยไป๋อีก
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเงาหลังของเขาเข้าใกล้ประตูสีแดงของตำหนักทุกที อดขมวดคิ้วเล็กน้อยมิได้ ซวงไป๋อยากบอกอะไรกันแน่
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรหรือมีความนัยอย่างไร ล้วนทำให้จิตใจที่ไม่ปกติของนางระส่ำยิ่งขึ้น จนถึงกับเกิดความคิดว่าไม่อยากพบไป๋หลี่ชูแล้ว
แต่ความคิดนี้เพียงวาบขึ้นก็ถูกนางสะกดไว้
เพราะถึงตำหนักหน้าแล้ว ประตูแดงสลักลายวิจิตรของตำหนัก มีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนในชุดขาวยืนอยู่หลายคน แม้พวกเขาจะมิได้มีศาสตราวุธในมือ เพียงยืนนิ่งเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ ความเย็นชาในแววตาก็แผ่กลิ่นอายออกมา ทำเอาอากาศที่ร้อนอบอ้าวคล้ายเย็นลงหลายส่วน
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองเสื้อผ้าของพวกเขา ลายเกล็ดกิเลนเจ็ดสีสะท้อนวิบวับเหมือนกับชุดของซวงไป๋ เป็นหน่วยที่สิบแปดหรือก็คือหน่วยสือปาซือของค่งเฮ่อเจียน
นางนึกแปลกใจ ต้องเป็นสถานการณ์อย่างใดจึงต้องให้หน่วยที่สิบแปดของค่งเฮ่อเจียนคอยดูแล นางมิเคยลืมเลือนการเข่นฆ่าอย่างโหดเ**้ยมทารุณฉากนั้น ตอนพบหน่วยที่สิบแปดของค่งเฮ่อเจียนครั้งแรก
“เชิญ” ซวงไป๋ผลักประตูตำหนักเปิดออกยิ้มให้นาง
ชิวเยี่ยไป๋ลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังคงก้าวเท้าเข้าไป
ในตำหนักมิได้ประดับประดาอย่างหรูหราเกินความจำเป็นอย่างที่คิดไว้ และไม่มีคนมากมาย ยังคงเหมือนที่นางเคยเห็นเมื่อสามวันก่อนตอนเข้าเฝ้าไป๋หลี่ชู เพียงแต่ข้างเตียงใหญ่ของไป๋หลี่ชูมีโต๊ะตัวหนึ่งเพิ่มขึ้น บนโต๊ะมีขวดกระปุกธรรมดาหลายใบ เฒ่าชุดแดงประหลาดสองคนกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างกับขวดและกระปุก
ไม่เห็นไป๋หลี่ชู ผู้เฒ่าสองคนพอเห็นนางก็มองด้วยสายตาไร้ความรู้สึกแวบเดียว แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองต่อ
นางจึงมองสำรวจไปรอบๆ ภายในตำหนักการตกแต่งจัดวางไม่เหมือนที่นางจินตนาการว่าเป็นแท่นสังเวยเลือดหรือพิธีกรรมการจัดการกับงูกู่เลยสักนิด ยังสู้แท่นบูชากู่หรือแมลงคุณไสยของเผ่าเหมียวที่นางเคยพบตอนติดตามท่านอาจารย์เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความลึกลับน่ากลัวของพิธีเซ่นสังเวยราชาแห่งกู่เลย
หนึ่งเดียวที่ทำให้นางแปลกใจคือ พื้นซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของโต๊ะขอบลายดอกไม้ตัวนั้น บัดนี้ปรากฏบ่อน้ำบ่อหนึ่งซึ่งใหญ่มาก แทบจะครองพื้นที่สองในสามของห้อง น่าจะจุคนแช่อาบได้เจ็ดแปดคน บ่อน้ำสร้างด้วยหยกขาว ยามนี้มีน้ำเต็มบ่อ แต่น้ำในบ่อมิใช่น้ำเย็น หากเป็นน้ำอุ่นที่ควันลอยกรุ่น
ชิวเยี่ยไป๋ขบคิด ประมาณว่าที่พื้นคงมีกลไก ยามปกติปิดไว้ก็เป็นพื้นหิน พอเปิดออกก็เป็นบ่อน้ำหยกขาวขนาดใหญ่
ตามนิสัยโรคกลัวสิ่งสกปรกถึงระดับนี้ของไป๋หลี่ชู การมีบ่ออาบน้ำใหญ่ในห้องของตนเองก็มิใช่เรื่องแปลก
ทว่า บัดนี้เปิดบ่อออก คาดว่าคงต้องใช้สอยกระมัง
ส่วนจะใช้อย่างไร คงมิใช่คิดจะใช้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่นี้มารองรับเลือดของนางกระมัง ตามขนาดของอ่างยักษ์นี้แล้ว ใช้นางสักสิบคนเลือดก็ยังไม่พอ
ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันได้คิดต่อก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง นางหันไปก็พอดีเห็นไป๋หลี่ชูในเสื้อคลุมแดงคล้ำกำลังเดินเข้ามา แพรไหมนุ่มลื่นที่คลุมร่างเขา ราวกับลำแสงสีแดงคล้ำกำลังพลิ้วไหว
นางสังเกตเห็นปอยผมที่เปียกชื้นและซวงไป๋กับขันทีน้อยอีกคนที่ถือผ้าแพรต่วนอยู่ก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่ชูเพิ่งขึ้นจากอ่างอาบน้ำ
ไป๋หลี่ชูเห็นนาง แววตาก็ปรากฏรอยยิ้มเสน่ห์หาพิกล ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ อรุณสวัสดิ์”
——
[1] คือการนับเวลารูปแบบหนึ่งของจีนในสมัยโบราณ โดย 1 เค่อ จะเท่ากับ 15 นาที