ตอนที่ 105 ไม่รนหาที่ตายย่อมไม่ตาย (3)
“น้องสี่เห็นสภาพน้องสามหรือยัง” สายตาของชิวเฟิ่งหลานละจากชิวซั่นจิงมาจับจ้องชิวเยี่ยไป๋
เมื่อรับรู้ได้ถึงแววตาที่คมกล้า นางจึงกล่าวเนือยๆ ว่า “เห็นแล้ว แล้วอย่างไร พี่ใหญ่คิดว่าเป็นฝีมือข้าหรือ อย่าลืมนะว่าข้าไม่อยู่นี่ร่วมค่อนเดือน”
ชิวเฟิ่งหลานนึกไม่ถึงว่าพอเจอกันซึ่งหน้าชิวเยี่ยไป๋ก็จะพูดตรงขนาดนี้ เขาอึ้งไปแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในจวน แต่ข้าได้สั่งให้คนเฝ้าห้องน้องสามไว้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากแพทย์และหญิงรับใช้ประจำตัวน้องสามแล้ว ไม่มีใครอื่นเคยเข้าห้องน้องสามเลย แต่น้องสามกลับยังคง…”
“แต่พี่สามยังคงถูกคนทำจนเป็นบ้า และถ้าพี่สามไม่ได้สติตลอดไป คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือข้าเท่านั้น พี่ใหญ่จึงคิดว่าข้าบงการให้คนทำเรื่องพวกนี้” ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำพูดชิวเฟิ่งหลานอย่างดูแคลนและหันไปมองเขา
ภายใต้สายตาคมกริบเย็นเยียบของชิวเยี่ยไป๋ มิทราบเพราะเหตุใดชิวเฟิ่งหลานถึงกับรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เขาจึงผ่อนน้ำเสียงลง “พี่น้องต้องให้ความเคารพต่อกันและรักใคร่กลมเกลียวกัน จึงจะเป็นวิสัยของคนตระกูลชิว ในฐานะพี่ใหญ่ ข้าย่อมหวังว่าครอบครัวของเราจะปรองดองกันด้วยดีเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีใครทำร้ายพี่น้องของเรา ข้าที่เป็นพี่ใหญ่จะไม่ไว้หน้าแน่”
เขาหยุดลงแล้วพูดต่อทีละคำ “แน่นอน พี่ใหญ่ย่อมไม่ให้ใครถูกปรักปรำเช่นกัน”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูบุรุษรูปงามสง่าและหนักแน่นเบื้องหน้าที่แววตาวาวโรจน์ นางกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ถูกต้อง พี่ใหญ่เสมือนบิดา พี่ใหญ่ย่อมมีอำนาจเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นบัดนี้พี่ใหญ่จับตัวการที่ทำร้ายพี่สามได้หรือยัง หรือว่าความจริงแล้วพี่ใหญ่ตั้งใจจะบอกว่าสงสัยซั่นหนิง เพราะซั่นหนิงก็เข้าหาพี่สามได้ นางลงมือต่อพี่สามก็เพื่อปกป้องข้าที่เป็นพี่ชายของนางกระนั้นหรือ”
ชิวเฟิ่งหลานจ้องตานางด้วยแววตาคมกริบ คราวนี้เขาไม่อ้อมค้อมแล้ว ถามตรงๆ ว่า “ใช่เจ้าหรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋ยืนมือไพล่หลังไม่หลบสายตา และไม่ระย่อต่อแววตาวาวโรจน์นั่นแม้แต่น้อย กล่าวเนือยๆ ว่า “มิใช่ พี่ใหญ่เชื่อหรือไม่”
นางมิได้สั่งให้ชิวซั่นหนิงบีบให้ชิวซั่นจิงสติฟั่นเฟือนนี่ ในข้อนี้นางมิได้พูดเท็จ
ชิวเฟิ่งหลานจ้องนางครู่ใหญ่ สุดท้ายพยักหน้ากล่าวว่า “ดี ครั้งนี้ข้าเชื่อเจ้า”
เขาพลันถอนหายใจ เอื้อมมือเกาะไหล่ชิวเยี่ยไป๋ ใบหน้าที่สุขุมหนักแน่นเสมอมาส่อแววอับจนปัญญากล่าวว่า “ข้ารู้ดีว่าหลายปีมานี้น้องสี่อยู่ข้างนอกก็คับข้องไม่น้อย แต่ในเมื่อกลับมาแล้วย่อมเป็นบุตรหลานตระกูลชิว พี่ใหญ่จะพยายามคอยดูแลและหวังว่าพวกเราพี่น้องตระกูลชิวจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาครู่หนึ่ง แล้วปัดมือที่เกาะบนไหล่ออกช้าๆ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าพี่อยากพูดอะไร ข้ารู้ว่าข้าแซ่ชิว และรู้เจตนาของพี่ใหญ่ ทว่า…พี่ใหญ่ ท่านเชื่อหรือว่าพวกพี่น้องบ้านเราจะนับถือรักใคร่กันดีเหมือนครอบครัวปกติ”
วาจานี้เท่ากับบอกว่าเจ้าก็ไม่เชื่อมิใช่หรือ
พูดจบนางก็กล่าวต่ออย่างเฉยเมยว่า “เอ้อ ข้ายังมีธุระจะหารือกับอี๋เหนียงห้า ขอตัวก่อน”
ชิวเฟิ่งหลานมองตามเงาหลังของนาง สีหน้าสับสน พอหันกายก็เห็นชิวซั่นจิงที่ขดตัวผวาอยู่มุมห้องแววตาตื่นตระหนก จึงถอนหายใจยาวคราหนึ่ง
ใช่แล้ว วาจาเช่นนี้เท่ากับบอกว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อ
หลังออกจากเรือนชิวซั่นจิง ชิวเยี่ยไป๋กระซิบสั่งหนิงชุน หนิงชุนรู้ความจึงรีบไปที่ห้องของคนรับใช้ ส่วนชิวเยี่ยไป๋เดินทอดน่องไปทางริมบึงในสวน ยืนดูระลอกบนผิวน้ำตามลำพังรอหนิงชุน
ราวเค่อหนึ่ง หนิงชุนก็กลับมาอย่างเร่งรีบ กระซิบอย่างรวดเร็วที่ข้างหูชิวเยี่ยไป๋ ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาฉายแววหยามเหยียด
จริงๆ เลยหนอ ไม่อยู่จวนพักเดียว พวกมดปลวกก็ซี้ซั้วขึ้นเสียแล้ว
หนิงชุนเห็นสีหน้าชิวเยี่ยไป๋ก็นึกถึงเรื่องที่นางให้ไปสืบ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “นายน้อยสี่ ที่ชิวซั่นจิงเป็นบ้าเกิดจากฝีมือชิวซั่นหนิงใช่หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋แววตาเย็นลง แล้วแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ข้ามองระดับความโหดเ**้ยมของน้องหกพลาดไป”
หนิงชุนส่ายหน้า “นายน้อยสี่รับเคราะห์ในจวนตระกูลชิวแต่เล็ก และมิได้เติบโตในตระกูลชิว ถ้าจะว่าความสนิทสนมกับพี่น้องมิได้แน่นแฟ้นนักยังพอว่า แต่ฟังมาว่าชิวซั่นหนิงกับชิวซั่นจิงสนิทกันดีอยู่นะเจ้าคะ และนางยังเป็นดรุณีในห้องหอ เหตุใดจึงโหดเ**้ยมกว่าพวกเราชาวยุทธจักรเสียอีก”
และการที่ชิวซั่นหนิงทำเช่นนี้ เท่ากับตัดเบาะแสที่จะทำให้นายน้อยสี่รู้ความจริง แผนการของนายน้อยสี่เปลืองแรงเปล่า น่าชังจริง!
ชิวเยี่ยไป๋หวนนึกถึงตอนพบกับชิวซั่นหนิงเช้านี้ แม้ดูแล้วนางจะสงบเสงี่ยมลงไม่น้อย แต่ดวงตายังคงมีแววดุร้าย เห็นได้ชัดว่านางถือเอาชิวซั่นจิงเป็นที่ระบายโทสะ จิตใจจึงค่อยสงบหน่อย และวิธีที่ใช้ก็ค่อยๆ โหดเ**้ยมทารุณขึ้นเรื่อยๆ จึงยากจะปกปิดแววดุร้ายในดวงตา
นางแววตาหม่นลงอีก ชิวซั่นหนิงไม่เพียงโง่งม แถมนิสัยเ**้ยมเกรียมยากจะเยียวยาแล้ว
หนิงชุนพลันนึกถึงท่าทางของคุณชายใหญ่เมื่อครู่ จึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “คุณชายใหญ่สงสัยนายน้อยสี่ใช่หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “ถึงพี่ใหญ่จะสงสัยข้าก็ไม่เห็นเป็นอะไร”
หนิงชุนเบ้ปากกล่าวว่า “นายน้อยสี่เจ้าขา ท่านไม่รู้หรือว่าคุณชายใหญ่เสียทีที่หน้าตาเหมือนวิญญูชน แต่ความจริงไม่เอาไหนเลย ก็ไม่รู้ว่าเขาได้เป็นขุนพลซึ่งเป็นขุนนางระดับสามได้อย่างไรกัน”
ทั้งสืบหาความจริงไม่ได้ แถมยังสยบน้องๆ มิได้ เอาแต่พูดจาเป็นวรรคเป็นเวร ช่างจอมปลอมเสียจริง
ชิวเยี่ยไป๋เด็ดใบหลิวมาขยี้เล่น กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าว่าชิวเฟิ่งหลานน่าจะเป็นคนดีที่สุดในตระกูล และเป็นนายที่รู้ว่าคุณธรรมคืออะไร ถึงอย่างไรก็ออกจากจวนไปสร้างความดีความชอบจากการศึกแต่แรก จึงยังมิได้แปดเปื้อนไปกับเล่ห์กลในตระกูล”
แม่ทัพรบร้อยครั้งตาย ทหารสิบปีจึงได้กลับบ้าน
เขาอยู่เฝ้าชายแดนนานปี คิดว่าคงเห็นความเป็นความตายมามากแล้ว จึงทะนุถนอมเยื่อใยสายโลหิตเดียวกันเป็นพิเศษ และให้ความเท่าเทียมกับน้องทุกคน
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอีกว่า “แต่ถึงอย่างไรเขาก็เกิดในตระกูลใหญ่ ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ ถ้าเขาอยากสืบสาวความจริง การเป็นขุนทัพแม่ทัพมานานปี มีหรือจะไร้ฝีมือ มีหรือจะสืบไม่ได้”
คงเพราะคำนึงถึงการคานอำนาจและการปรับตัวตามสถานการณ์กระมัง