แต่ เห็นได้ชัดว่าชิวเยี่ยไป๋ไม่มีวี่แววจะปรานีเขาเลย ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างเ**้ยมเกรียม จับชิวเฟิ่งฉูโยนลงบนเตียงอย่างหยาบคาย แต่น้ำเสียงสุดแสนอ่อนโยน “สำนึกเสียใจหรือ สายไปแล้ว”
เสียงฉีกกระชากเสื้อผ้าปะปนด้วยเสียงร่ำไห้อู้อี้ของบุรุษดังในห้อง แต่พวกเด็กรับใช้และหญิงรับใช้ด้านนอกถูกเสี่ยวชีชวนไปดื่มสุรากินไก่ย่างแล้ว จึงไม่มีใครได้ยินเสียงพิลึกพิลั่นที่ดังจากในห้อง
ราวหนึ่งชั่วยามให้หลัง ประตูห้องเปิดดังแอ๊ด พวกคนรับใช้ที่สนิทกับเสี่ยวชีจนเป็นพวกเดียวกันเห็นชิวเยี่ยไป๋เดินออกมา ต่างพากันทักทายอย่างเกรงใจ “นายน้อยสี่”
ถึงอย่างไรก็เขานี่แหละที่ให้เศษเงินเสี่ยวชีนำไปเลี้ยงสุราเลี้ยงกับแกล้ม
พวกเขาคิดว่านายน้อยสี่คงมีธุระหารือกับนายของตน ลูกอนุเอาใจลูกภรรยาเอกย่อมสมควรอยู่แล้ว หารู้ไม่ว่าขณะนี้เจ้านายของพวกเขาตกอยู่ในสภาพสุดแสนอเนจอนาถ
ชิวเยี่ยไป๋ได้ลงไม้ลงมือก็รู้สึกสบายตัว ยิ้มให้พวกเขาและพยักหน้า “ทุกคนค่อยๆ กินนะ ข้ายังมีราชการรัดตัว ขอไปก่อน พี่รองกำลังจัดแจงธุระในห้อง พวกเจ้าอย่าเข้าไปรบกวนนะ”
ชิวเยี่ยไป๋ที่สุภาพเรียบร้อยและเป็นกันเองได้ใจทุกคนในลานบ้านทันที ทุกคนพากันผงกศีรษะรับคำอย่างยินดี บางคนยังออกปากเชิญให้ชิวเยี่ยไป๋ว่างๆ มาใหม่
เพราะเมื่อนายน้อยสี่มาเยี่ยมทุกคนก็ได้อิ่มหนำสำราญ ใครบ้างจะไม่ยินดี
ชิวเยี่ยไป๋จึงพาเสี่ยวชีออกจากหอตู้จ้งด้วยประการฉะนี้
มองตามเงาหลังของคนทั้งสอง เด็กรับใช้คนสนิทของชิวเฟิ่งฉูใช่ว่าจะไม่สงสัยเสียเลย ถึงอย่างไรคุณชายรองก็ไม่ถูกกับนายน้อยสี่อยู่แล้ว เหตุใดวันนี้จึงสนิทสนมกันนัก
เขานึกไปนึกมาจึงแอบอ้อมผ่านทุกคนขึ้นไปชั้นบนตามลำพัง กำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงแผดร้องเกือบจะโหยหวนดังมาจากข้างใน “ไสหัวไป ไสหัวไปไกลๆ ห้ามเข้ามา ใครเข้ามาข้าจะฆ่ามัน!”
เด็กรับใช้ที่หน้าประตูสะดุ้งโหยง รีบถอยและรับคำ “ขอรับ ขอรับ!”
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณชายรองพูดคำไหนคำนั้น พวกเขายังคงเชื่อฟังเข้าไว้จะดีกว่า
ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกที่จากไปอย่างเร่งร้อน บุรุษที่ถูกฉีกเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าตามตัวฟกช้ำดำเขียวท่ามกลางความเละเทะในห้อง เจ็บปวดและสำนึกเสียใจจนน้ำตาไหลพราก
เป็นครั้งแรกที่เขาสำนึกเสียใจเพราะไปตอแยมารปีศาจเช่นชิวเยี่ยไป๋อย่างแท้จริง
เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย พยายามลุกขึ้นอย่างโซเซ พยายามหันหลังให้กับคันฉ่องที่ถูกย้ายมาอยู่เบื้องหน้า เพื่อจะได้เห็นตัวอักษรวิธีแก้มัดที่เขียนไว้บนแผ่นหลัง
ชิวเฟิ่งฉูมองผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว แต่ยังคงเหลือบเห็นสภาพของตนจากคันฉ่อง พริบตานั้นเขาอับอายจนถึงขั้นปรารถนาความตาย
นี่เป็นความอัปยศที่สุดของบุรุษ จะให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด!
…
ขณะชิวเฟิ่งฉูกำลังตกอยู่ในนรกของการแก้มัดและความเจ็บปวด จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นเงาร่างสองร่างที่ห้อยกลับหัวโยกไปเยกมาบนต้นไม้นอกหน้าต่างที่ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
เงาร่างหนึ่งใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณถามอีกร่างว่า “วั่งไฉ…เอ่อ…อวิ๋นฉี่ พวกเราควรรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอีไป๋ไหม”
เงาร่างเหมือนผีอีกเงาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “นายน้อยสี่คงไม่ทำกับพวกเราจนเหมือนบุรุษในห้องนั่นหรอกนะ”
“…พวกเราทำเป็นไม่รู้เถอะ”
“รู้แล้วไม่รายงาน…เท่ากับทรยศนะ”
“ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการทรยศคือ…เป็นขันที”
“…”
เงาร่างสองร่างนอกหน้าต่างพลันตกอยู่ท่ามกลางการเคี่ยวกรำทางจิตใจ โชคชะตาของการเป็นไส้ศึก ลิขิตไว้แล้วว่าต้องเคี่ยวกรำเช่นนี้
…
หลังชิวเยี่ยไป๋ออกจากหอตู้จ้งแล้ว เดิมทีคิดว่ารอให้ชิวซั่นหนิงกลับมาค่อยจัดการกับนาง แต่เป่ยเทียนซือไท่ให้คนส่งจดหมายมาบอกว่า เนื่องจากอีกไม่กี่วันจะออกจากราชธานีแล้ว ท่านจึงคิดว่าจะสนทนาธรรมกับสหายธรรมที่ชานเมืองสักหลายวัน ตอนจะออกจากราชธานีจะให้รถม้าของตระกูลชิวไปรับนางกับชิวซั่นหนิงโดยตรงก็แล้วกัน
ชิวเยี่ยไป๋นึกดูแล้วอย่างนี้ดีที่สุด ชิวซั่นหนิงจะได้ไม่ต้องทุรนทุรายในจวน
ในที่สุดก็ดับไฟหลังบ้านเสร็จจนได้ นางไม่อยากเสียเวลาในจวนตระกูลชิวอีก จึงสั่งให้เสี่ยวชีเตรียมม้าไปหอไผ่เขียว
นางรอบคอบเสมอมา ทุกครั้งที่จะไปหอไผ่เขียวล้วนต้องไปในฐานะที่ต่างกันเพื่อไม่ให้ใครสังเกต แต่ครั้งนี้นางมิได้แปลงโฉม ตรงไปในฐานะอาคันตุกะ
แขกเหรื่อของหอไผ่เขียวกำลังครึกครื้นทีเดียว ชิวเยี่ยไป๋เห็นแต่ไกลว่ามีสตรีชุดเหมยแดงคนหนึ่งกำลังพาเด็กหน้าตาดีสองคนยืนยิ้มข้างประตู พอเห็นเสี่ยวชีขับรถม้ามา นางก็รีบออกมาต้อนรับ
“ฟังว่านายน้อยสี่จะมา คุณชายเทียนซูได้เตรียมโต๊ะเลี้ยงไว้ที่ห้องเทียนจื้อหมายเลขหนึ่งแล้ว” แม่เล้าหน้าเปื้อนยิ้มโบกพัดไปมา บิดเอวส่ายสะโพกเยื้องย่างเข้าหาชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋แลดูนางพลางยิ้มน้อยๆ หยิบถุงเงินส่งให้ “หลี่หมัวมัว ลำบากท่านแล้ว”
หลี่หมัวมัวรีบรับไว้ แล้วเดินนำชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวชีขึ้นไปบนหอ
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าที่ไกลออกไปมีเงาร่างสองเงา เมื่อเห็นชิวเยี่ยไป๋เข้าไปในหอแล้ว คนหนึ่งรีบตามเข้าไป อีกคนกลืนหายไปในฝูงคนอย่างเงียบเชียบ และหนึ่งชั่วยามให้หลัง ไม่ไกลจากหอไผ่เขียวนัก รถม้าหรูหราคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่ใต้หอไผ่เขียว องครักษ์หน้าตาดีสองคนยืนอยู่ข้างรถรีบเลิกม่านแพรไข่มุก กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน ถึงแล้ว”
เสียงเย็นเยือกวังเวงของบุรุษดังขึ้นเบาๆ “ที่นี่หรือ”
องครักษ์ผู้นั้นตอบว่า “ขอรับ ตามที่ข้าสืบมา ใต้เท้าชิวเข้าไปในหอไผ่เขียว และคุณชายเทียนซูดาวเด่นอันดับหนึ่งของหอกำลังต้อนรับด้วยตนเอง”
“นายท่าน ท่านจะเข้าไปหรือ” อีไป๋เหลือบมองหอไผ่เขียวอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง สถานที่โสมมเช่นนี้จะคู่ควรให้ฝ่าบาทเข้าไปได้อย่างไร
แม้เขาจะมีคู่เสน่หาในหอคณิกาก็ตาม แต่กับเรื่องลักเพศยังคงรับไม่ได้ มักรู้สึกว่าการที่บุรุษชาติอาชาไนยคนหนึ่งถึงกับยอมให้คนทับไว้เบื้องล่าง ให้ผู้อื่นย่ำยีเพียงเพื่อเห็นแก่เงินทอง ช่างเป็นการสิ้นศักดิ์ศรีและต่ำทรามเสียจริง
ไป๋หลี่ชูแหงนมองอักษรตัวมหึมาของชื่อหอ ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ใช่”
อีไป๋แลดูใบหน้าของไป๋หลี่ชู กล่าวอย่างลังเลว่า “คนที่มาเที่ยวหอไผ่เขียว ถ้ามิใช่ร่ำรวยก็บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยังมีพวกลูกหลานผู้ดีและขุนนางจำนวนไม่น้อย แต่รูปโฉมของฝ่าบาทมิใช่คนธรรมดาจะเทียบได้ แม้จะปลอมตัวเป็นบุรุษ เกรงว่ายังคง…”
ฝ่าบาทศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา ถึงมีคนจำได้ก็จัดการไม่ยากจริงอยู่ แต่คงวุ่นวายพอสมควรทีเดียว
ไป๋หลี่ชูลูบคลำชายเสื้อตนเอง คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สวมชุดบุรุษแล้วกัน”
อีไป๋ตลึง “เอ่อ…”
แต่เขาก็เข้าใจความหมายของไป๋หลี่ชูอย่างรวดเร็ว
“โอ้โฮ นายท่านผู้นี้ช่างงามสง่าจริง แต่ไม่คุ้นหน้าท่านเลยคงไม่เคยมาที่หอไผ่เขียวกระมัง” แม่เฒ่าผู้ดูแลคนหนึ่งนำเด็กรับใช้หน้าตาดีสองคนคอยต้อนรับแขกเหรื่อ พอหันกลับก็ปะกับอีไป๋พอดี นางเหลือบเห็นอีไป๋แม้จะสวมชุดดำธรรมดา แต่เนื้อผ้ากลับเป็นแพรชั้นดี จึงรีบตรงเข้ามาทักทายอย่างประจบประแจง