เดิมทีอีไป๋เห็นหมัวมัวปรี่เข้าใกล้ก็จะถอยก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ ไม่อยากให้แม่เล้ามาพัวพันใกล้ตัว คาดไม่ถึงว่าหมัวมัวคนนี้กลับมิได้เข้ายื้อยุดชายเสื้อแขกเช่นแม่เล้าทั่วไป แต่หยุดห่างจากเขาเป็นฉื่อแล้วย่อตัวลงคารวะอย่างยิ้มแย้ม อากัปกริยางามสง่า
อีไป๋งงงัน เพ่งพิจารณาโดยละเอียด จึงพบว่าหมัวมัวคนดูแลผู้นี้ผมเผ้าสางเป็นระเบียบเรียบแปล้เกล้ามวยไว้หลังศีรษะ นอกจากปิ่นหยกประดับรูปค้างคาวมรกตปักที่มวยผมแล้ว ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดเลย เสื้อผ้าเหลืองอ่อนปักลายค้างคาวเข้ากับกระโปรงร้อยจีบสีน้ำเงินอ่อนแกมเขียว รัดเอวด้วยสายคาดสีเดียวกัน ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายพวกแม่เล้าที่มักแต่งหน้าจนหนาเตอะและสวมใส่เครื่องประดับมากมาย ดูแล้วเหมือนหมัวมัวผู้ทำหน้าที่แม่บ้านของตระกูลขุนนางชั้นสูงมากกว่า
หมัวมัวเห็นดวงตาที่จับจ้องตนฉายแววแปลกใจก็มิได้ลนลาน ยังคงย่อตัวยิ้มแย้มอยู่เช่นนั้น จนในที่สุดอีไป๋จึงนึกได้ว่านางกำลังรอให้ตนคารวะตอบ จึงกระแอมอย่างอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อยว่า “หมัวมัวมิต้องมากมารยาท โปรดลุกขึ้นเถิด ข้า…แค่ก แค่ก…เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มารยาทที่เหมาะสม ไปจนถึงการให้เกียรติและความเป็นกันเองอย่างพอเหมาะพอควรของแม่เล้าที่หอไผ่เขียวเป็นที่พอใจของอีไป๋ ทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย
หมัวมัวคนนั้นยืนยืดตัวขึ้น ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มแต่ไม่ประจบประแจงกล่าวว่า “ท่านเรียกข้าว่าอี้หมัวมัวเถิด ไม่ทราบว่านายท่านจะขอชมหัตถศิลป์หรือมนุษยศิลป์”
อีไป๋งงงัน “หัตถศิลป์ มนุษยศิลป์?”
อี้หมัวมัวเห็นเขาไม่เข้าใจ พลันรู้ว่านี่เป็นไก่อ่อน จึงอธิบายอย่างอดทนและยิ้มแย้ม “หอไผ่เขียวของเราเป็นที่ที่คุณชายและใต้เท้าทั้งหลายนิยมชมชอบมาพูดคุยกันเป็นที่สุด บรรดาคุณชายของหอเราย่อมต้องมีฝีมือทางศิลปะชั้นสูง จึงจะสามารถพูดคุยด้วยได้ ส่วนมนุษยศิลป์หมายถึงคนเราย่อมมีตัณหาความอยากมาแต่กำเนิด ถ้านายท่านคนใดพูดคุยกับพวกคุณชายของเราแล้วถูกคอกัน ก็ค้างคืนถกกันต่อด้านตัณหาความอยากเป็นการส่วนตัวก็ได้”
อีไป๋ยิ่งฟังยิ่งงง ยังมีบางอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก รู้สึกว่าหมัวมัวคนนี้พูดจาวกวนจนน่าเวียนหัว
“ตัณหาความอยากของคนที่มีมาแต่กำเนิด ถกกันต่อด้านความอยาก ช่างสรรหาคำพูดได้ดีจริง แค่หมัวมัวคนหนึ่งในหอไผ่เขียวก็ยังมีศิลปะในการพูดเก่งถึงเพียงนี้ คนที่อยู่ข้างในคงเลอเลิศยิ่งเป็นแน่” เสียงแหบพร่าวังเวงเสนาะหูดังขึ้น
เสียงนี้พิเศษมาก หางเสียงลากยาวเล็กน้อย ให้ความรู้สึกที่รัญจวนอย่างประหลาด อี้หมัวมัวจึงหันไปดู พอเห็นเข้าก็อึ้งไป “เอ่…นี่คือ…”
อาคันตุกะโฉมงามคนหนึ่งในชุดดำเงาวาวคอปกตั้งสูงร่างโปร่ง สวมเพียงหมวกถักตามที่ชนชั้นสูงนิยม มองเห็นหน้าตาไม่ถนัด มือทั้งสองข้างสวมถุงมือถักด้วยใยทอง ผมยาวสลวยมิได้ใช้แพรรัดไว้ ปล่อยให้ระลงกับตัวเสื้อตามธรรมชาติ ชุดดำเงาหรูหราขับให้เห็นคอระหงที่พ้นปกเสื้อออกมาแลดูขาวผ่องราวสลักจากหยกชั้นดี
นี่เป็นหญิงงามผมยาวลึกลับที่ปรากฏตัวในราตรี ทั้งร่างดูเหมือนจะกลืนไปกับความมืดของราตรี แต่กลับมองดูเป็นเงาร่างคนที่รางเลือน
อี้หมัวมัวเคยเห็นหญิงงามจนชินตาก็ยังคงอดตะลึงมิได้ ดวงตาฉายแววตระหนกอย่างปิดบังมิได้ สายตาที่จับจ้องนั้นทำเอาอีไป๋ฉายแววอำมหิตแวบหนึ่ง เขาแค่นเสียงกระแอมเบาๆ “แค่ก…”
อี้หมัวมัวเหมือนตื่นจากฝัน ยิ้มอย่างขออภัยว่า “ข้าน้อยเสียกริยาแล้ว ข้าน้อยอายุมากขนาดนี้เคยเห็นโฉมงามนับไม่ถ้วน นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสยลโฉมหญิงงามดุจเทพยดาเช่นนี้ ท่านโปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิด”
คำพูดเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของอี้หมัวมัว กลับทำเอาอีไป๋ลงมือมิได้
เขากล่าวเนือยๆ ว่า “นี่เป็น…ฮูหยิน…บ้านข้า”
ตอนพูดคำว่า ‘ฮูหยิน’ เขาเสียงสั่นอย่างอดมิได้ เสียงที่หลุดจากปากฟังแล้วแฝงด้วยความรักใคร่อย่างท่วมท้น เพียงแต่อีไป๋ไม่รู้สึกตัว
แต่อี้หมัวมัวกลับอึ้งไป กล่าวตะกุกตะกักว่า “อ้อ…นายท่านพาฮูหยินออกมาเที่ยวซ่อง…หอไผ่เขียว”
รัชกาลนี้สังคมค่อนข้างเปิดกว้าง แต่เปิดกว้างขนาดสามีภรรยาชวนกันเที่ยวหอนางโลมตั้งแต่เมื่อใด
หรือว่านายท่านที่ดูคงแก่เรียนผู้นี้พาฮูหยินของตนออกมาหาของรักของชอบ..หรือ เพราะตนเองมีปัญหาบางประการ…
แววตาของอี้หมัวมัวเปลี่ยนจากตะลึงงันเป็นข้องใจและจับจ้องไปยังจุดหนึ่งของอีไป๋ แววตาที่สงสารเห็นใจนั้นทำเอาอีไป๋เจ็บใจ เขาย่อมรู้ดีว่าหมัวมัวคิดอะไรอยู่
อีไป๋ทั้งโกรธทั้งอาย กัดฟันกล่าวว่า “ข้าหมายถึงฮูหยินที่จวน…ไม่ใช่ฮูหยินของข้า!”
อี้หมัวมัวจึงพลันเข้าใจ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ถือว่ายังกล้อมแกล้มไปได้ สายตาของนางหยุดอยู่ที่ถุงมือประณีตและหมวกที่มีแพรคลุมหน้า นึกในใจว่าแค่คนรับใช้ของฮูหยินก็งามสง่าเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ บวกกับการแต่งกายที่ดูเรียบง่ายแต่ประณีตล้ำค่าเช่นนี้ แสดงว่านางคงเป็นนายหญิงของตระกูลขุนนางใหญ่ และนางสวมชุดดำเหมือนไว้ทุกข์ ไม่แน่ว่าอาจตกพุ่มหม้ายสามีตายก็เป็นได้
สตรีในเมืองหลวงบางคนเป็นหม้าย และมิอาจแต่งงานใหม่ด้วยสาเหตุบางประการ จึงได้แต่เลี้ยงชู้ไว้เชยชมก็มีอยู่มาก และแขกของหอไผ่เขียวจำนวนไม่น้อยก็คือสตรีผู้เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเหล่านี้
อี้หมัวมัวจำได้ว่าสตรีประเภทนี้มักมือเติบ และเนื่องจากได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี จึงเป็นแขกที่ทางหอไผ่เขียวยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง
นางรีบยิ้มให้ไป๋หลี่ชู “โอ้โฮ ท่านดูสิ ข้าน้อยแก่จนตาฝ้าฟางแล้ว ฮูหยินโปรดให้อภัย สักครู่ข้าน้อยจะจัดคุณชายที่ฝีมือยอดเยี่ยมมาเป็นเพื่อนคุยกับฮูหยินนะเจ้าคะ!”
ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ “ไม่ต้องหรอก ข้ามาเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงคุณชายเทียนซู ไม่ทราบว่าหมัวมัวจะช่วยแนะนำได้หรือไม่”
อี้หมัวมัวงงงัน นึกในใจว่า ดูของเป็นนี่ แต่วันนี้มาผิดจังหวะก็เท่านั้น
นางจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “แหม น่าเสียดายจริง บังเอิญวันนี้คุณชายเทียนซูไม่ค่อยสบาย เมื่อสักครู่นี้ออกทางประตูหลังไปหาหมอแล้ว ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ หากท่านไม่รังเกียจ คุณชายเทียนฮว่ากำลังว่างอยู่ ถ้าท่านคิดจะสนทนาพาทีกับคุณชายเทียนซู ไว้คุณชายกลับมาข้าจะบอกให้ คิดว่าเขาต้องยินดีที่จะพบกับอาคันตุกะเช่นท่านเป็นแน่”
อีไป๋ฟังไปฟังมาเพิ่งเข้าใจว่าการพูดคุยที่ว่าคืออะไร ถ้าเพียงต้องการถกโคลงฉันท์กาพย์กลอน บรรดาคุณชายในหอไผ่เขียวผู้รอบรู้ตำรับตำรามีอยู่มากมาย จะคุยกันข้ามคืนก็ได้ แต่ถ้าเป็นแค่นักเที่ยวทั่วไป บริการของหอไผ่เขียวจะช่วยทำให้สบายไปทั้งตัวและกลับไปอย่างอิ่มเอม
หอคณิกาชั้นสูงเช่นนี้ถ้าไปเปิดที่อื่นอาจไม่มีคนไปเที่ยว แต่นี่เปิดในราชธานีใต้จมูกของจักรพรรดิ กลับถูกอกถูกใจพวกคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่คิดว่าตนเองไม่ธรรมดา บวกกับพวกปราชญ์ในสมัยเว่ยจิ้น[1]นิยมการดื่มสุราพาทีในป่าไผ่ ซึ่งหอไผ่เขียวแห่งนี้ปลูกป่าไผ่ทั้งหน้าหลังเต็มไปหมด จึงถูกยกย่องว่าเป็นสถานที่รื่นรมย์ที่สุดในเมืองหลวง และมีคนใช้สอยเงินทองเหมือนเทน้ำเทท่าที่นี่ทุกวัน
——
[1] ราชวงศ์เว่ยกับราชวงศ์จิ้น ช่วงประวัติศาสตร์จีน ค.ศ. 220-589