“เรือใครก็ช่าง พวกเราจะค้นให้หมด!”
ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วปล่อยเหมยเซียงจื่อ แล้วเดินไปที่ประตูท้องเรือ มองจากร่องประตูก็เห็นชายฉกรรจ์ชุดเขียวเข้มกลุ่มหนึ่งพยายามจะลงเรือ มีทหารคุ้มกันและโจวอวี่กำลังขวางไว้
โจวอวี่สีหน้าดุดันตวาดใส่ชายชุดเขียวว่า “บังอาจ นี่เป็นเรือทางการของซือหลี่เจียน พวกเจ้าที่เป็นชาวบ้านธรรมดาจะกบฏหรือไร”
เดิมทีคิดว่าพออ้างชื่อเช่นนี้อีกฝ่ายจะรู้ความแล้วจากไป นึกไม่ถึงว่าชายชุดเขียวที่เป็นหัวหน้าแค่นเสียงคำหนึ่ง กวัดแกว่งป้ายหงส์ทองวาววับเข้าใส่ “ซือหลี่เจียนแล้วเป็นอย่างไร เฮอะ! ดูเสียให้ชัดว่านี่อะไร…”
โจวอวี่เห็นป้ายก็หน้าถอดสี นั่นเป็น…
“อย่าได้บังอาจ” เสียงนุ่มนวลดังขึ้น โจวอวี่เห็นชายชุดเขียวพากันแยกออกสองข้างอย่างนอบน้อม เผยให้เห็นเงาร่างสง่าสีเทาเงินสายหนึ่ง
พริบตานั้นเขางงงัน สีหน้าสับสนกล่าวว่า “คุณชายใหญ่เหมย”
คนที่มาคือเหมยซูเจ้าของตระกูลพ่อค้าหลวงอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ชื่อของคนผู้นี้เขาเคยได้ยินและเคยเห็นแต่ไกลครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงบรรดาบุตรหลานชนชั้นสูง
ครานั้น แม้บรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่จะโอภาปราศรัยกับเหมยซูอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่นั่นเพราะพวกเขาได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี หรือไม่ก็เพราะมีธุระต้องขอความช่วยเหลือด้านอิทธิพลหรือเงินทองจากตระกูลเหมยเท่านั้น ในใจยังคงนึกรังเกียจความเป็นลูกพ่อค้าที่ดีแต่มีเงินเพียงอย่างเดียว แม้ว่าภาพลักษณ์ของเขาจะดูสง่าและโดดเด่นเหนือกว่าบุตรหลานผู้ดีจำนวนมากก็ตาม
แต่จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าในมือของเหมยซูถึงกับมีป้ายหงส์ทองด้วย
นั่นเป็นป้ายประกาศิตขององค์พระพันปี เห็นป้ายดุจเห็นองค์
โจวอวี่ลังเลแต่ยังคงเลิกชายเสื้อเตรียมจะคุกเข่าลง
นึกไม่ถึงว่าย่อตัวลงได้ครึ่งเดียว เหมยซูก็พยุงแขนเขาไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “พี่โจวมิต้องมากมารยาท เหมยซูมิใช่คนถือดีที่มีป้ายประกาศิตมารังแกคน เพราะเป็นเรื่องสำคัญจึงจำใจทำเช่นนี้ ขอให้พี่โจวโปรดเห็นใจ วันหน้าเหมยซูจะไปขออภัยถึงจวนพี่โจว”
วาจาที่เปี่ยมด้วยความสุภาพเชิงขออภัยเช่นนี้ ไม่ว่าใครฟังแล้วก็คงโกรธไม่ลง โจวอวี่ก็เช่นเดียวกัน จึงลุกขึ้นยืนกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “มิทราบว่าพี่เหมยมาพบด้วยเรื่องอันใดกันแน่”
เหมยซูกวาดตามองไปยังเรือที่อยู่ด้านหลังโจวอวี่แต่ไม่ตอบกลับถามว่า “พี่โจว ผู้ใดจะล่องไป
ไหวหนานหรือ”
โจวอวี่อึ้งไป แม้การไปสืบคดีที่ไหวหนานครั้งนี้จะไม่เป็นความลับ แต่ก็มิใช่เรื่องที่ควรโพทนาต่อภายนอก เหมยซูรู้ได้อย่างไร
เหมยซูแลดูเขายิ้มจางๆ กล่าวว่า “เหมยซูกับใต้เท้าชิวนับว่ามีวาสนาต่อกัน”
โจวอวี่ฟังแล้วก็งง “อ้อ ที่แท้ใต้เท้าของเราบอกท่านนี่เอง”
เขาจำได้แม่นยำว่าใต้เท้าเชียนจ่งเคยไปบ้านตระกูลเหมย แต่ตอนกลับมามิได้บอกว่ารู้จักกับคุณชายใหญ่ตระกูลเหมย แต่ดูท่าทางของเหมยซูไม่เหมือนโกหก จึงกล่าวอย่างเกรงใจว่า “พี่เหมยมาส่งหรือ แต่ท่านมิใช่มีเรื่องสำคัญหรอกหรือ”
เหมยซูไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เพียงยิ้มน้อยๆ “ไม่ทราบว่าใต้เท้าลงเรือหรือยัง เรื่องของข้าเองช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”
การโต้ตอบระหว่างโจวอวี่กับเหมยซูเสียงดังพอสมควร ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ในห้องท้องเรือย่อมได้ยินอย่างชัดเจน นางรู้แล้วว่าเหมยซูมาหาผู้ใด
คิดดูแล้วคงเพราะรู้ว่าเหมยเซียงจื่อหนีออกจากบ้าน จึงมาตามหาน้องสาว และด้วยสติปัญญาระดับเขา จะสงสัยว่าเหมยเซียงจื่อหนีมาอยู่ในเรือของตนก็มิใช่เรื่องแปลก
ส่วนโจวอวี่เห็นได้ชัดว่ามิใช่คู่ปรับของพ่อค้าที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แค่สองสามคำก็โดนเหมยซูทำเอาหัวหมุนแล้ว และเหมยซูก็มิได้พูดเท็จแม้แต่คำเดียว กลับชักนำให้โจวอวี่คล้อยตามที่ต้องการได้
เห็นโจวอวี่ส่งคนเข้ามาในห้องท้องเรือของตน ชิวเยี่ยไป๋ก็ลอบถอนใจอย่างอับจน เจ้าเหมยซูคนนี้ร้ายกาจจริง
ถ้าโจวอวี่บอกว่านางยังไม่ได้ลงเรือหรือหาวิธีถ่วงเหมยซูไว้สักพัก นางยังสามารถทำให้เหมยเซียงจื่อไม่ต้องถูกจับตัวไปต่อหน้าธารกำนัล ถึงอย่างไรการถูกพบตัวในห้องบุรุษสองต่อสองย่อมไม่ดีต่อชื่อเสียงของเหมยเซียงจื่อ อีกอย่างนางต้องการหลีกเลี่ยงมิให้คนอื่นเอาเรื่องนี้มานินทาตน เพราะการลักพาตัวดรุณีในห้องหอมีโทษไม่เบาทีเดียว
ชิวเยี่ยไป๋กำลังคิดอยู่ว่าจะรับมือเหมยซูอย่างไร ก็ถูกเหมยเซียงจื่อที่อยู่ด้านหลังกระตุกแขนเสื้อ แล้วเสียงออดอ้อนก็ดังขึ้นด้านหลัง “ใต้เท้าเจ้าขา ถ้าท่านปล่อยให้พี่ชายข้าพบว่าข้าอยู่ที่นี่และพาตัวข้าไป ข้าจะตะโกนให้รู้ทั่วกันว่าท่านลักพาตัวข้ามาที่นี่หวังจะทำมิดีมิร้าย!”
คำขู่ชนิดไม่เกรงอกเกรงใจเช่นนี้ทำเอาชิวเยี่ยไป๋ชะงัก แววตากรุ่นด้วยโทสะ
นางหรี่ตาหันไปมองเหมยเซียงจื่อ “คุณหนูใหญ่ เจ้าร้ายมาก!”
ถึงกับกล้าข่มขู่ตนโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงความเป็นสตรี!
เหมยเซียงจื่อเห็นชิวเยี่ยไป๋สีหน้าเย็นชาก็สะท้านกาย แต่ยังฝืนยิ้มอย่างดื้อรั้นระคนอาดูรว่า “ถูกต้อง หากข้ามิอาจอยู่เคียงคู่กับคนที่ข้าหมายปองตลอดไป ต้องแต่งไปอยู่สถานที่เช่นวังหลวง ข้าก็ไม่ต้องการชื่อเสียงบ้าบอแล้ว และจะไม่มีทางไปเป็นนางบำเรอในที่ที่พบเจอผู้คนมิได้เช่นนั้น ไปเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งในมือผู้อื่น!”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูนางที่น้ำตานองหน้า แต่มิอาจบดบังความสิ้นหวังและจิตใจที่ร้าวรานได้ จึงขมวดคิ้วครู่หนึ่งและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้สิ ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง แต่เมื่อเจ้าสมปรารถนาคงต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้างนะ”
เหมยเซียงจื่อได้ฟังแล้ว มีความยินดียิ่งนัก รีบละล่ำละลักว่า “ขอบพระคุณใต้เท้า!”
โจวอวี่กำลังจะเคาะประตู ประตูท้องเรือพลันเปิด แอ๊ด ชิวเยี่ยไป๋ก้าวช้าๆ ออกมา กวาดตามอง
โจวอวี่แวบหนึ่งแล้วยิ้มกับเหมยซู “ข้าคิดว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณชายใหญ่เหมยนี่เอง”
เหมยซูมองดูชิวเยี่ยไป๋แล้วจึงเผยยิ้มราวลมฝนพรมพรำ “ใต้เท้าชิว ใต้เท้ายังคงสง่างามเช่นเดิม ช่างน่าเลื่อมใสนัก”
โจวอวี่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร สายตาใต้เท้าของตนที่กวาดใส่เมื่อครู่ทำเอาขนลุก พอเห็นทั้งสองพูดจากัน ตัวเขาซึ่งปากมากแต่ไหนแต่ไรจึงหุบปากสนิทแล้วถอยห่างออกไป
“คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านต่างหากที่สง่างามเช่นเดิม” ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ สายตามองไปยังพวกชายชุดเขียว “คุณชายเหมยมาส่งข้า ไยจึงต้องพาพวกมามากมาย ข้าจำได้ว่าไม่เคยบอกใครนะว่าจะออกจากราชธานีลงใต้”
โจวอวี่ฟังแล้วก็เข้าใจทันที ที่แท้ใต้เท้าของตนไม่เคยบอกเหมยซู ตนเองต่างหากที่งี่เง่าชักพาเหมยซูเข้ามา เห็นท่าทางของเหมยซูมิใช่มาดีเลย แต่ก็มิรู้ว่ามีอะไรขัดแย้งกับใต้เท้าของตนหรือไม่ อาจตั้งใจมาหาเรื่องก็เป็นได้