“เจ้าทำอะไร ปล่อยนะ!”
นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ใจเต้นเหมือนกลองรัว เหมยเซียงจื่อพยายามจะลุกขึ้น แต่ปลายจมูกยังคงได้กลิ่นสุราบวกกับกลิ่นหอมจากกายของชิวเยี่ยไป๋ที่ชวนเมามาย ทำเอาสมองของนางที่เลอะเลือนอยู่แล้วเลอะเลือนยิ่งขึ้นจนถึงกับขยับตัวมิได้ ได้แต่ฟุบอยู่บนอกของชิวเยี่ยไป๋แล้วหลับตาพริ้มลงช้าๆ
ในเวลาเดียวกัน คนที่เดิมทีเมาจนสลบไปแล้วกลับพลันลืมตาขึ้นพลิกตัวนั่งอย่างรวดเร็ว จับเท้าของเหมยเซียงจื่อจัดวางอย่างเรียบร้อย ให้นางนอนลงกับเตียงพร้อมห่มผ้าห่ม จากนั้นก็เป่าเทียนดับลง
สิ้นแสงเทียน แสงจันทร์นอกหน้าต่างก็ทอทาบเงาสิ่งหนึ่งบนกระดาษกรุหน้าต่าง
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเงาร่างที่แนบกับหน้าต่างค่อยๆ ลุกขึ้น น่าจะคิดว่าชิวเยี่ยไป๋หลับไปแล้วจึงรีบจากไปอย่างเงียบเชียบ
นางยิ้มน้อยๆ แล้วล้วงผงบางอย่างจากแขนเสื้อสาดใส่ตัวเองพริบตานั้น กลิ่นเหล้าในตัวหายไปหมด แล้วนางก็ออกทางหน้าต่างตามไล่ไปติดๆ อย่างเงียบเชียบราววิญญาณ
วิชาตัวเบาของชิวเยี่ยไป๋ถึงขั้นสุดยอดแล้ว คนผู้นั้นไม่รู้ตัวว่ามีคนตามมา มุดไปมุดมาสองสามเลี้ยว ก็ไปถึงสถานที่ซึ่งดูแล้วเหมือนห้องหนังสืออย่างเจนทาง
นางรีบกระโดดขึ้นหลังคา เลื่อนกระเบื้องเป็นช่องแล้วมองลงไป
ในห้องมีคนสองคนนั่งอยู่ หนึ่งคือมั่วเสียนอีกคนคือเศรษฐีหลิว
เศรษฐีหลิวลูบเครากล่าวอย่างดูแคลนว่า “ไอ้พวกหยิบหย่ง ออกมาทั้งทียังอุตส่าห์พาหญิงรับใช้มาด้วย ยังกล้าบอกว่ามาสืบคดี มันจะไปสืบอะไรได้ มาหลอกกินหลอกดื่มหลอกเอาเงินชัดๆ”
อีกอย่างไอ้พวกที่ชิวเชียนจ่งพามาก็เหมือนกันหมด
มั่วเสียนส่ายหน้าหัวร่อกล่าวว่า “ช่างมันเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง กระโดดโลดเต้นได้ไม่นานหรอก พวกเราอย่าเผลอเผยพิรุธก็พอ”
เศรษฐีหลิวพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้!”
มั่วเสียนนึกไปนึกมา “เอ้อนี่ พักนี้ดูเหมือนตระกูลเหมยจะกำลังตามหาสตรีคนหนึ่ง บอกว่าลงเรือไปกับชิวเยี่ยไป๋ ท่านว่าจะใช่เซียงเอ๋อร์คนนี้หรือไม่”
นับแต่ชิวเยี่ยไป๋กล่าวบนโต๊ะอาหารว่าของดีที่สุดของเซียงเอ๋อร์คือหอมมาก พวกเขาย่อมนึกว่า ‘เซียง (香)’ คำนี้แปลว่าหอม ย่อมมิใช่ ‘เซียง (相)’ อีกตัวที่เป็นชื่อของเหมยเซียงจื่อ
คหบดีหลิวมีไมตรีกับตระกูลเหมย พอเห็นภาพเขียนและคำบรรยายก็รู้ว่าเหมยซูกำลังตามหาใคร เรื่องนี้ความเป็นมาอย่างไรเขามิรู้แจ้ง จึงไม่อยากพูดมาก เพียงกล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าว่าไม่เหมือน”
จะไปเหมือนได้อย่างไร คนหนึ่งเป็นคุณหนูสูงค่าปานทองคำพันชั่งคนหนึ่งเป็นหญิงรับใช้ประจำตัว และเขาเองเคยเห็นเหมยเซียงจื่อมาแล้ว งดงามกว่าหญิงรับใช้คนนี้มากโข
มั่วเสียนเห็นเขาไม่อยากพูดจึงผงกศีรษะหงึกหงักแล้วอำลา
ชิวเยี่ยไป๋ที่ฟุบบนหลังคาเห็นเศรษฐีหลิวส่งมั่วเสียนออกไป ดูแล้วตอนนี้คงยังไม่มีอะไรให้สืบอีก จึงมิได้รีรอ รีบกระโจนเหินตัวจากไป
ถึงป่าไผ่ผืนน้อยนอกคฤหาสน์ตระกูลหลิว นางหยุดยืนแล้วกระแอมหลายคำ ครู่เดียวก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
“ใต้เท้า!” โจวอวี่ประสานมือคารวะ
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “ไปกันเถอะ”
โจวอวี่ผงกศีรษะแล้วตามชิวเยี่ยไป๋ตลอดทางเข้าสู่ตัวเมือง
ตงอั้นเป็นศูนย์กลางการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก กลางคืนจึงมักมีเรือเข้าเทียบท่า ดังนั้นบริเวณท่าเรือจึงได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ ไม่มีคำสั่งห้ามออกจากเคหายามวิกาล ไม่เพียงไม่ห้ามแต่ยังคึกคักมากด้วย ร้านอาหาร โรงเตี๊ยม และหอคณิกา ต่างก็รวมกันอยู่บนถนนสายริมน้ำ
ชิวเยี่ยไป๋พาโจวอวี่ไปถึงโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่งบนถนนริมน้ำ เลือกที่นั่งริมหน้าต่างที่มองเห็นแม่น้ำแล้วนั่งลง สั่งเนื้อพะโล้หนึ่งจาน ไก่อย่างหนึ่งตัว แตงกวาดองจานเล็ก ถั่วลิสงจานเล็กและสุราหนึ่งชาม
ตอนแรกโจวอวี่คิดว่าชิวเยี่ยไป๋กำลังรอใครอยู่จึงไม่ถามและนั่งเป็นเพื่อนชิวเยี่ยไป๋ เห็นนางค่อยๆ กะเทาะเปลือกถั่วลิสงเคี้ยวช้าๆ กินแตงกวา บางครั้งก็กินเนื้อกินไก่ ทำเช่นนี้อยู่ครึ่งชั่วยาม
โจวอวี่ชักอดรนทนไม่ไหว จึงถามอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า เรามานั่งที่นี่ทำไม ท่านรอใครอยู่หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เคี้ยวถั่วลิสงพลางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “โจวอวี่ เจ้าลองเดาดูสิว่า ทำไมคืนนี้ข้าจึงแสดงละครฉากนี้ในบ้านตระกูลหลิวแล้วมานั่งที่นี่”
โจวอวี่อึ้งไปแล้วตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าน่าจะเพราะอย่างช้าพรุ่งนี้ พลพรรคไล่ล่าของคุณชายเหมยจะถึงที่นี่ ถ้าเขาไม่มาตงอั้น พวกเราก็ทำการได้เต็มที่ แต่เหมยซูมิใช่คนธรรมดา ถ้าเขาดันมานั่งบัญชาการในตงอั้น การสืบคดีของเราต้องยุ่งยากแน่ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือคืนนี้ควรจัดแจงอะไรบางอย่าง หรือสืบหาเบาะแสที่ตระกูลเหมยกลบเกลื่อนไม่ทัน อาทิเช่นพวกพยานที่ร้องเรียนพวกนั้น”
ส่วนการแสดงละครที่บ้านตระกูลหลิว จะได้ให้ทุกคนเห็นพวกเราเมาหมดสติแล้ว แถมยังอยู่ในถิ่นของตนเอง คืนนี้อีกฝ่ายคงตายใจ
ชิวเยี่ยไป๋แลดูโจวอวี่แวบหนึ่ง คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “ไม่ผิด โจวอวี่เจ้าเป็นคนฉลาดจริง แต่มีจุดหนึ่งที่เจ้ายังไม่เข้าใจ เจ้าเดาถูกครึ่งเดียว ที่เหลือเจ้าคิดไม่ถึง”
นางหยุดลงแล้วกล่าวต่อ “วัตถุประสงค์ที่ข้ามานั่งตรงนี้ในคืนนี้คือ…จะเอาชีวิตเจ้า!”
พริบตานั้นโจวอวี่ตกตะลึง มองดูเข็มสีครามเล่มหนึ่งที่จ่ออยู่ตรงชีพจรข้อมือของตนอย่างไม่เชื่อสายตา บนเข็มส่งประกายสีครามวาววับ เห็นได้ชัดว่าอาบยาพิษร้ายแรงไว้
“ยาพิษบนเข็มเรียกว่าเชียนจี แม้จะมิใช่เห็นเลือดแล้วตายทันที แต่หลังจากพิษเข้าสู่โลหิตแล้ว จะทำให้ชาทั้งตัวในพริบตา จากนั้นอวัยวะภายในทั้งหมดจะแข็งตัว เจ้าจะตายเพราะหายใจไม่ออก ดูจากภายนอกจะเหมือนดื่มมากเกินขนาดจนเส้นเลือดแตกตาย” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ
โจวอวี่แลดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตาปวดร้าว “ใต้เท้า…ทำไม”
หลังจากเขาเกิดเรื่องแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ก็นั่งบัญชาการกองคั่นเฟิงเองมาตลอด ช่วยเขาและทุกคนเก็บกวาดสถานการณ์ ความเฉลียวฉลาดและไหวพริบที่แสดงออกมาในช่วงเวลานั้น ทำให้เขายอมสยบอย่างราบคาบและเต็มใจ มิใช่ถูกบังคับให้ภักดีเหมือนตอนแรก และตัดสินใจเงียบๆ ว่าชิวเยี่ยไป๋คือคนที่ตนพึ่งพิงได้จนกล่าวได้ว่าเป็นนายเหนือหัวอย่างแท้จริง เขาตื้นตันและซาบซึ้งต่อชิวเยี่ยไป๋ และระหว่างที่ร่วมมือกับชิวเยี่ยไป๋ เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าตนเองมิใช่สวะดังเช่นในสายตาของคนอื่น
จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะฆ่าเขา
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “เพราะแม้เจ้าจะฉลาด แต่มิใช่มีสติเสียทุกอย่าง เจ้ามักเห็นศัตรูเป็นมิตร หลงกลศัตรูจนลากคนอื่นลงน้ำไปด้วย ขนาดตู้อวี่เทียนรู้ทั้งรู้ว่าเจ้าติดตามข้าอาจต้องตาย แต่กลับไม่เตือนเจ้าสักคำ แต่วันนี้ข้าเห็นเจ้าสนิทสนมกับตู้อวี่เทียนอย่างกับอะไรดี ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนมากด้วยน้ำใจ ตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม ต่อให้มิใช่ตู้อวี่เทียนยังอาจมีคนใช้เจ้าเป็นเครื่องมือจนได้”
นางหยุดลงแล้วพูดต่ออย่างเย็นชา “นิสัยเช่นเจ้า แถมยังมิรู้จักแยกแยะว่าใครเป็นใคร วันข้างหน้าจะเป็นต้นเหตุของเภทภัยใหญ่หลวงและจะพัวพันถึงข้ากับทุกคนในกองคั่นเฟิง ข้าจบชีวิตเจ้าเสียแต่เนิ่นๆ ยังจะดีกว่า เจ้าเคยพูดไว้มิใช่หรือว่า เพื่อพี่น้องในกองคั่นเฟิง เพื่อซือถูอี้จ่างที่รับเคราะห์แทนเจ้า เจ้ายินดีทำทุกอย่าง”