ได้ยินคนพูดถึงความหลัง ชิวเยี่ยไป๋แววตาหม่นลง นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “นั่นนะสิ กาลเวลาเปลี่ยนผัน สรรพสิ่งและผู้คนล้วนแปรเปลี่ยน เพียงแต่วันนี้เย่ไป๋ต้องมาเองเพื่อขอสุราจากหัวหน้าใหญ่มู่หรงสักจอกแล้ว”
หลินชงลั่งเป็นมือเก่าผู้เจนโลก ย่อมดูออกว่าแววตาชิวเยี่ยไป๋หม่นลง ในใจก็รู้สึกเสียดายที่ผู้อาวุโสจากไป และอยากให้นางสดชื่นจึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณชายสี่อยากดื่มสุรา ของเราที่นี่แม้จะสู้ของอินชวนกงมิได้ แต่พี่ใหญ่มู่หรงก็สั่งการเองให้คนส่งสุราฮวาเตียวมาจากเซ่าซิงโดยตรง และยังมีเหล้าองุ่นจากต้าฉิน คุณชายสี่จะได้ลิ้มชิมสบายใจแน่”
พูดจบเขาก็มองชิวเยี่ยไป๋จากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วหัวร่อกล่าวว่า “คุณชายสี่ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านเซียนเทียนจี หน้าตาคมสัน รูปร่างสง่ามีราศี มิทราบว่าทำเอาดรุณีในยุทธจักรลุ่มหลงแทบเป็นแทบตายไปกี่คนแล้ว นึกดูแล้วข่าวคราวความเจ้าชู้ของท่านคงเป็นจริงตามคำร่ำลือ”
เห็นหลินชงลั่งพูดเช่นนี้ ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ดีว่าเขาจงใจจะให้นางรู้สึกดีขึ้น จึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “มิบังอาจๆ ก็แค่อายุยังน้อยจึงวู่วามหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ท่านหัวหน้าหลินอย่าได้หัวร่อผู้เยาว์เลยนะ”
พอได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความ ‘เจ้าาชู้’ ของชิวเยี่ยไป๋ บรรดาคนที่อยู่รอบกายชิวเยี่ยไป๋ต่างก็แสดงท่าทีต่างกัน โจวอวี่นวดคลึงขมับเพื่อคลายอาการเวียนศีรษะ เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้อัศจรรย์เกินตนจะทำความเข้าใจได้ เสี่ยวชีบิดเบ้มุมปากแสดงออกว่าคัดค้านความเห็นนี้ กระทั่ง ‘ไต้ซือเมิ่งอี๋’ ยังชะงักงัน ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นเส้นโค้งงดงามคล้ายถอนใจคล้ายยิ้มหัว
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าโตกว่าท่านหลายปี ท่านเรียกข้าเป็นท่านอาสักคำก็พอ” หลินชงลั่งกล่าว
ชิวเยี่ยไป๋มีนิสัยเปิดกว้างเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ จึงไม่ปฏิเสธไมตรีของหลินชงลั่งยิ้มน้อยๆ เรียก “ท่านอา”
สำนักหอซ่อนกระบี่มีฐานะไม่ธรรมดา แม้เซียนเฒ่าเทียนจีจะมีนิสัยพิกล แต่ก็เป็นคนจิตใจกว้างขวางและเปิดเผย พลังยุทธ์บรรลุถึงขั้นเซียนแล้ว จึงได้รับฉายาเซียนเฒ่า และมีมิตรสหายมากมายทั้งธรรมะและอธรรม
แต่เขาก็วางตัวเช่นเดียวกับหอซ่อนกระบี่ที่อยู่เหนือธรรมะและอธรรม ไม่เคยสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสองเส้นทางนี้เลย จึงถือว่าเป็นบุคคลระดับตำนานเป็นที่เคารพรักของคนทั้งสองเส้นทางที่เหมือนน้ำกับไฟ
ดังนั้นการที่หลินชงลั่งให้ศิษย์ของเซียนเฒ่าเทียนจีเรียกตนเป็นท่านอา ถือว่าเอาเปรียบอยู่
หลินชงลั่งดีใจมาก รู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตามากขึ้น จึงหัวร่อกึกก้องแต่ยังคงเรียกขานชิวเยี่ยไป๋ตามความเคยชินของยุทธจักร “คุณชายสี่เชิญทางนี้ งานเลี้ยงเริ่มแต่เมื่อวานแล้ว ท่านให้คนมาแจ้งล่วงหน้า ผู้เป็นอานึกว่าท่านจะมาวานนี้ นึกไม่ถึงว่าจะช้าไปหนึ่งวัน บรรดาสหายในยุทธจักรกินเลี้ยงเป็นวันที่สองแล้ว แต่ผู้เป็นอาเก็บของดีไว้ให้ คุณชายสี่กับ…”
เขาเหลือบมองเสี่ยวชีและโจวอวี่ที่อยู่ข้างกายชิวเยี่ยไป๋ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ตัวหลวงจีนที่เปียกโชก จึงงงงันกล่าวว่า “คนนี้เป็นคนของคุณชายสี่กระมัง ทำไมจึงตกน้ำล่ะ”
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อกล่าวอย่างย่นย่อว่า “คนผู้นี้คือไต้ซือเมิ่งอี๋ เจ้าสำนักซวีอู๋แห่งภูเขาซวีอู๋”
หลินชงลั่งฟังแล้วตะลึง ขณะได้ยินชื่อสมณะเพศก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “ไต้ซือเมิ่ง…เมิ่งอี๋[1]”
เขาคลุกคลีในยุทธจักรมานานปี ไยจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้ โดยเฉพาะชื่อในสมณะเพศช่างประหลาดจริง!
หลวงจีนไร้ปฏิกิริยาต่อคำพูดของหลินชงลั่ง เพียงหลุบตาลง
นี่นับเป็นกริยาที่ไร้มารยาท บรรดาผีน้ำเห็นแล้วต่างไม่พอใจ
ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มใช้มือแตะแขนของเขา หยิกเนื้อเขาเบาๆ “ไต้ซือเมิ่งอี๋ หัวหน้าหลินกำลังพูดกับท่านนะ หยุดสวดมนต์ได้แล้ว ท่านสวดจนจะกลายเป็นมารแล้ว”
หลวงจีนโดนหยิกจนเจ็บ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหลินชงลั่ง พริบตาที่เขาเงยหน้าขึ้นหลินชงลั่งก็ตะลึง แม้อีกฝ่ายจะผมเผ้าเปียกปอนแปะอยู่กับใบหน้า แต่ดวงตาที่ฉายประกายเทาเงินและเค้าหน้าอันเด่นชัดกลับไม่ถูกบดบังความสง่าแม้แต่น้อย
และสายตาที่อีกฝ่ายมองมาเพียงแวบเดียวก็ทำเอาหลินชงลั่งสะท้าน รู้สึกเหมือนกับว่าฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเงาร่างสีเงิน กลิ่นกำยานควันธูปและพุทธะกำลังก้มมองสรรพสัตว์อย่างปรานี
ทำให้เขาละเลยความทุเรศทุรังบนกาย อยากประนมมือก้มกราบ
หลินชงลั่งประนมมืออย่างจริงใจแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ขอบพระคุณสมณะเจ้าที่อุตส่าห์มาอวยพรวันเกิดพี่ใหญ่ของข้า เพียงแต่ท่านเปียกไปทั้งตัว จะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนหรือไม่ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
ร่อนเร่ในยุทธจักรมานานปี เขาย่อมมีสายตาคมกริบที่มองคนออก หลวงจีนรูปนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่สามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นเพียงครั้งเดียวได้คิด ปลงตก ย่อมมิใช่หลวงจีนธรรมดา
ในยุทธจักรใช่ว่าจะไม่มีคำร่ำลือว่าฝึกพลังยุทธ์ถึงขึ้นสุดยอดแล้วกลับชราสู่ทารก เล่ากันว่ามารเซียนนางเฒ่าทาริกาเมื่อร้อยปีก่อนคือเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าความจริงแล้วเป็นยอดฝีมือที่ฝึกยุทธ์สายพุทธจนถึงขั้นสุดยอดแล้วก็เป็นได้
ดังนั้นสมณะเพศว่าเมิ่งอี๋…น่าจะมีความหมายลึกซึ้ง โดยมิใช่แปลว่าฝันเปียกอย่างที่ตนคิด
ถ้าชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่และพวกผีน้ำที่รายรอบรู้ว่า แค่ถูกหลวงจีนมองสบตาครั้งเดียว หลินชงลั่งผู้เจนโลกก็สันนิษฐานได้ถึงระดับนี้ ทุกคนคงเป็นลม
แต่เวลานี้ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หลินชงลั่งก็นอบน้อมต่อหลวงจีน
ไต้ซือเมิ่งอี๋จู่ๆ ก็ได้ ‘สาวก’ เพิ่มขึ้น จึงประนมมือ “อมิตตาพุทธ ขอบคุณประสก”
แต่หลังสรรเสริญพระพุทธคุณแล้วก็เสริมอีกคำ “ประสกโปรดทราบ ชื่อของอาตมามิใช่เมิ่งอี๋”
และนี่คือสาเหตุที่คนอื่นเรียกไต้ซือเมิ่งอี๋แล้วเขาไม่มีปฏิกิริยา ก็มิใช่เรียกตนนี่นา
ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายประกายแวววับ มือที่แตะบนแขนลงแรงอย่างไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางสายตาที่งงงันของทุกคน นางกล่าวต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ไต้ซือท่านสวดมนต์จนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ”
ดวงตาหลวงจีนฉายแววข้องใจ ไม่ทราบว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงต้องการให้ตนมุสา เขามีสีหน้าเที่ยงธรรม ขณะกล่าวราบเรียบว่า “บรรพชิตย่อมไม่มุสา”
พูดขาดคำ มุมปากของชิวเยี่ยไป๋ก็กระตุกเล็กน้อย ใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณพูดกับหลวงจีนหลายคำ ซึ่งมีแต่หลวงจีนคนเดียวที่ได้ยิน
หลวงจีนพลันได้ยินพลังเสียงคำขู่ของชิวเยี่ยไป๋ “ไต้ซือ ถ้าท่านไม่ชื่อเมิ่งอี๋ หลายวันต่อจากนี้ท่านจะได้กินแค่วันละมื้อนะ!”
และแล้วหลวงจีนที่เพิ่งพูดหยกๆ ว่าไม่มุสา จึงกล่าวประโยคต่อมาอย่างนุ่มนวลว่า “ดังนั้นสมณะฉายาของอาตมาจึงเป็นเมิ่งอี๋”
ทุกคน “…”
เมื่อครู่ดูเหมือนไต้ซือเมิ่งอี๋จะบอกว่าตนมิใช่ชื่อเมิ่งอี๋นี่นา
——
[1] เมื่งอี๋ (梦遗) แปลว่า ฝันเปียก