จะขายหน้าไหม
มิใช่มาเยี่ยมคนยากไร้นี่นา เขายังไม่เคยเห็นใครนำเป็ดไก่เนื้อปลามาเป็นของขวัญคนที่มีหน้ามีตาเลย!
นึกไม่ถึงว่าหลินชงลั่งเบิกตากว้าง หัวร่อร่ากล่าวว่า “คุณชายสี่ช่างรอบคอบจริง อุตส่าห์เตรียมของขวัญมาด้วย เร็วเข้า รีบไปรับไว้!”
คนท่าทางเหมือนรองหัวหน้าสองคนรีบตรงเข้าไปรับถุงอาหารจากโจวอวี่ แล้วมอบให้ลูกน้องนำไปจัดแจง
โจวอวี่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นึกในใจว่าหรือว่าหัวหน้าหลินมีนิสัยรักชอบแบบประหลาดๆ เหมือนอินชวนกง
เสี่ยวชีที่อยู่ข้างๆ เห็นสีหน้างุนงงของเขาจึงกระซิบอย่างรำคาญว่า “เก็บสีหน้าที่ปิดความคิดไม่มิดไว้ สำนักหอซ่อนกระบี่ของเรามีฐานะสูงล้ำในยุทธจักร ไม่เคยเป็นพวกพ้องของใครหรือเอาใจใคร ท่านอาจารย์ปู่แทบไม่เคยให้ของขวัญใครเลย ได้ของขวัญจากคุณชายของเราถือว่าเป็นหน้าเป็นตาแล้ว”
การให้ของกินแม้จะมิใช่ของขวัญดิบดีอะไรแต่เหมาะสมที่สุดเพราะของที่ให้มิใช่ของล้ำค่า บวกกับคำพูดของชิวเยี่ยไป๋ เท่ากับเป็นการประกาศต่อยุทธจักรว่า สำนักหอซ่อนกระบี่ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิม คือจะไม่เป็นพวกพ้องกับใคร ครั้งนี้แค่มาเยี่ยมสหายเก่าของอาจารย์ บังเอิญเป็นงานวันเกิดของเจ้าภาพ จึงเตรียมของเล็กน้อยเป็นน้ำใจ
ความตั้งใจนี้เท่ากับให้เกียรติเจ้าภาพแล้ว
โจวอวี่เดินตามชิวเยี่ยไป๋เข้าจวี้อี้ถาง ได้เห็นสายตาที่แสดงความเลื่อมใสของคนรอบข้างที่มีต่อชิวเยี่ยไป๋ นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประจักษ์แก่สายตาถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของสำนักหอซ่อนกระบี่
มองดูบรรดาชาวยุทธจักรฝ่ายอธรรมอีกรอบ คิดว่าคงเพราะมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิด แต่ละคนจึงแต่งกายหรูหรา แต่ยังคงมิอาจบดบังกลิ่นอายป่าเถื่อนได้ ยังมีสตรีชาวยุทธจักรไม่น้อยที่สวมใส่สวยสดและทันยุคสมัย ดูแล้วไม่ต่างจากนายหญิงหรือคุณหนูของตระกูลใหญ่ เพียงแต่เค้าหน้ายังคงแฝงด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟัน นั่งปะปนอยู่ในกลุ่มบุรุษด้วยท่าทางสบายใจ
ได้เห็นคนหลายประเภทอยู่รวมกันทำให้โจวอวี่รู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตา
ส่วนชิวเยี่ยไป๋พอเข้าไปในห้องโถง ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน ล้วนเป็นสหายฝ่ายอธรรมของไหวหนานและกลุ่มลำน้ำต่างๆ ทางเหนือที่มาร่วมงานเลี้ยง ตอนนางติดตามท่านอาจารย์เมื่อครั้งวัยเยาว์เคยพบมาก่อน ถือว่าเป็นผู้อาวุโสกว่า นางเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นทักทายย่อมยิ้มน้อยๆ และคารวะตอบเป็นธรรมดา
หลินชงลั่งจัดแจงให้นางนั่งลงที่โต๊ะของตนแล้วนั่งลงเป็นเพื่อน แล้วสั่งลูกน้องรีบนำสุราอาหารมาให้
ชิวเยี่ยไป๋แลดูอาหารบนโต๊ะที่ถือได้ว่าสมบูรณ์ทีเดียว กับข้าวเหนือใต้มีครบ ในจำนวนนี้มีปลาหัวยุ่งทอดน้ำมันกับกุ้งทะเลลวกที่พบได้ไม่บ่อยนัก
เห็นสายตาของชิวเยี่ยไป๋หยุดอยู่ที่กุ้งทะเลและปลาหัวยุ่ง หลินชงลั่งดีใจจนออกนอกหน้ากล่าวว่า “ผู้เป็นอารู้ว่าคุณชายสี่ติดตามเซียนเฒ่าไปทั่วทั้งเหนือใต้ ย่อมรู้ว่าปลาหัวยุ่งนุ่มที่สุดและกุ้งทะเลสดที่สุด อาหารสองสำรับนี้แถบชายฝั่งทะเลอาจพบไม่ยาก แต่ปลาทะเลกับกุ้งทะเลพอพ้นน้ำก็ตาย โดยเฉพาะปลาหัวยุ่งเกิดในแถบฮกเกี้ยนกับกวางตุ้ง ก็มิรู้ว่าพี่ใหญ่ทุ่มเทฝีมือไปมากน้อยเท่าใดจึงสามารถใช้น้ำแข็งแช่ไว้แล้วส่งมาถึงที่นี่ คุณชายสี่ลองดูสิว่าต่างกับที่ท่านเคยกินไหม”
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมให้หน้าเขา รับคำอย่างยิ้มแย้ม อย่าว่าแต่อาหารสองจานนี้พบเห็นน้อยมากในดินแดนที่ไกลจากทะเล
นางใช้ตะเกียบคีบลองชิมดู แล้วชมเชยอย่างจริงใจว่า “รสชาติดีมาก สดจนเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ หัวหน้าใหญ่มู่หรงไม่เสียทีที่เป็นผู้นำฝ่ายอธรรมลุ่มน้ำ ความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ!”
การชมตรงๆ ไม่อ้อมค้อมทำเอาหลินชงลั่งหน้าบาน รีบเลื่อนอาหารสองจานนั้นมาเบื้องหน้าชิวเยี่ยไป๋ “ในเมื่อคุณชายสี่รักชอบก็กินอีกหน่อยนะ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มรับ นางวุ่นวายมาตลอดคืน ตอนนี้ก็หิวจริงๆ จึงดื่มกินพลางพูดคุยกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายอธรรม
บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายอธรรมพูดคุยกับนาง พลางรอบคำนวณน้ำหนักของนายน้อยสำนักหอซ่อนกระบี่คนนี้
พวกเขาคิดว่าแม้ศิษย์ของเซียนเฒ่าจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ศิษย์ปิดสำนักกลับมีเพียงชิวเยี่ยไป๋คนเดียว ทั้งนี้เพราะเซียนเฒ่านิสัยพิกล บรรดาลูกศิษย์ลูกหาปรนนิบัติไม่ไหว จึงสู้ยอมเป็นศิษย์ธรรมดาของสำนักดีกว่า ดังนั้นจนล่วงเข้าวัยชราจึงได้พบกับชิวเยี่ยไป๋ และรับไว้เป็นศิษย์ปิดสำนักที่รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรง แต่เพียงไม่กี่ปีเซียนเฒ่าก็ล่วงลับไป
ซึ่งย่อมทำให้พวกที่เดิมทีคิดจะล้างมือในอ่างทองคำถอนตัวจากยุทธจักร หรือคนที่ก่อนถึงแก่กรรมอยากฝากฝังให้นำอาวุธประจำตัวของตนไปมอบให้สำนักหอซ่อนกระบี่ออกจะรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง
ส่วนชิวเยี่ยไป๋เมื่อครั้งวัยเยาว์ติดตามเซียนเฒ่าเทียนจีขึ้นเหนือล่องใต้ ชาวยุทธจักรประเภทไหนก็เจอะเจอมาหมดและเห็นโลกกว้างจนรอบรู้เจนจัด บวกกับนางเป็นคนฝีปากดีมากและไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกตื้นเขิน จึงทำให้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะที่คอยเฝ้าสังเกต นึกนิยมในใจว่านายน้อยของสำนักหอซ่อนกระบี่ผู้นี้สมควรแก่ฐานะ
และลอบชมว่าเซียนเฒ่าเทียนจีตาแหลมจริงๆ
ส่วนพวกที่อยู่โต๊ะอื่นเพราะศักดิ์ฐานะไม่เพียงพอ แม้อยากจะเข้ามาคารวะสุราก็ต้องเจียมตัว และไม่กล้าเหิมเกริมละเมิดกฎเกณฑ์ ในจำนวนนี้มีสตรีบางคนไม่กล้าเข้ามาคารวะสุรา แต่ยังคงชายตาให้อยู่บ่อยครั้ง
เดิมทีบุรุษและสตรีชาวยุทธจักรก็ไม่ค่อยมีกฎมีเกณฑ์อะไรอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสตรีที่ท่องยุทธจักรมักใจกล้ากว่าคนปกติเสมอ
โดยเฉพาะชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่ล้วนเป็นบุรุษรูปงามที่ยากจะพานพบ พวกนางย่อมพยายามโปรยเสน่ห์อย่างไม่ปิดบัง ต่อให้เป็นความสัมพันธ์แค่หนึ่งราตรีก็ยังดี
โจวอวี่ที่เจ้าชู้อยู่แล้ว บัดนี้เห็นบรรดาสตรียุทธจักรตั้งอกตั้งใจหว่านเสน่ห์ แถมบางคนยังจงใจดึงคอเสื้อให้ต่ำลงเผยอกอวบ ก็อดจุ๊ปากไม่ได้
แต่ชิวเยี่ยไป๋กลับเอาแต่ยิ้มโดยไม่ตอบสนอง มัวแต่ชนแก้วกับพวกผู้หลักผู้ใหญ่
สุราผ่านไปสามรอบ บางคนที่ถือดีว่าพอจะมีศักดิ์ฐานะอยู่บ้าง บวกกับอาศัยฤทธิ์สุราย้อมใจ จึงเข้ามาจะลองคารวะสุรา
ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่ปฏิเสธ อมยิ้มจิบเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ดีใจจนเนื้อเต้น จึงมีคนอีกจำนวนมากที่อยากเลียนแบบ
หลังนางรับมือสามคนที่มาคารวะสุราแล้ว ก็กล่าวกับหลินชงลั่งเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เอ้อ ท่านอา ฟังมาว่าพักนี้พี่น้องในลุ่มน้ำไหวหนานทำเรื่องใหญ่โตทะลุฟ้าเหมือนวีรบุรุษ ไม่ทราบว่าพี่น้องพวกนี้วันนี้อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”
ความจริงแล้วเพราะวันนี้ชิวเยี่ยไป๋จะมา หลินชงลั่งจึงรีบแจ้งต่อผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนแต่เนิ่นๆ แม้จะมิได้ตั้งใจจะแจ้งต่อผู้อื่น แต่เมื่อผู้ใหญ่ของค่ายต่างๆ มาแล้วและยังไม่กลับพวกลูกกระจ๊อกมีหรือจะกล้ากลับก่อน ต่อให้ดื่มจนเมาก็ต้องอยู่ต่อ
ดังนั้นตอนที่ชิวเยี่ยไป๋มาถึง ในจวี้อี้ถางจึงเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด พอนางถามเช่นนี้พริบตานั้นบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ต่างเงียบลง
หลินชงลั่งสีหน้าเครียดวูบหนึ่งมิได้ตอบทันที
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เป็นอะไรไปท่านอา พวกเขาไม่อยู่ที่นี่หรือ”
นี่ประหลาดแล้ว