เหมยเทียนอีคือชื่อของประมุขตระกูลเหมย
เหมยซูก้มตัวลงช้าๆ แลดูเหมยจิ่นอย่างนุ่มนวลแล้วถอนใจ “การตัดสินใจทั้งหมดล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ น้องเล็กจะโทษข้าได้อย่างไร ถ้าใจเจ้าไม่มีความละโมบ ไหนเลยจะตกอับเช่นวันนี้”
เหมยจิ่นฟังแล้วก็โกรธจนตัวสั่น แผดเสียงกล่าวว่า “เหมยซู ทุกคนล้วนถูกหน้ากากที่นุ่มนวลเหมือนฝนหมอกเจียงหนานหลอกไป เจ้าก็แค่ไอ้สารเลวโจรถ่อยที่อายุสิบหกก็ล่อลวงเป็นชู้กับแม่รองและทำร้ายน้องชายเท่านั้นเอง เจ้าทำร้ายจนมารดาของข้าต้องกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ข้าไม่แค้นเจ้าจะไปแค้นใคร ข้าแค้นจนอยากกินเนื้อเจ้าดื่มเลือดเจ้า เจ้ามันสารเลว ไม่มีทางพบจุดจบที่ดีแน่ เจ้ากับเหมยเทียนอีไม่มีวันจบดีแน่!”
อาจเพราะความแค้นในใจลึกล้ำและโกรธแค้นจนเกินไป ทั้งบาดเจ็บสาหัสและถูกทรมานอย่างทารุณ อารมณ์เกรี้ยวโกรธจึงกล่าววาจาเหล่านี้โดยไม่ติดขัด
แต่กระเทือนถึงบาดแผลจนเลือดสดๆ ทะลักจากปากอีกและไอไม่หยุด “แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก…”
เหมยซูหัวร่อเบาๆ ดวงตางดงามฉายแววเย็นเยือก “แม่รองตายเพราะเจ้ามิใช่หรือ นางถือดีว่าบิดารักใคร่และได้เจ้า จึงคิดโง่ๆ อย่างไม่เจียมตัว ตายไปก็สมควรแล้วมิใช่หรือ น้องเล็กคิดถึงแม่รองมากขนาดนี้ พี่ใหญ่ย่อมยินดีให้พวกเจ้าสมปรารถนา บิดาจะได้ตัดเยื่อตัดใยเสียให้หมดสิ้น”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลเช่นเดิม ไร้ความได้ใจหรือเสียดสีแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องที่พูดเป็นเรื่องแสนธรรมดาเรื่องหนึ่ง
แต่น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เช่นนี้กลับทำเอาคนฟังขนลุก แม้แต่รองพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็ยังสยิวกาย
เหมยจิ่นตัวสั่น ถลึงตาใส่เขา
เหมยซูกล่าวต่ออย่างนุ่มนวล “แต่ก่อนที่เจ้าจะไปพบแม่รอง พี่ใหญ่ยังต้องการให้เจ้าทำเรื่องหนึ่ง เจ้าคลุกคลีอยู่ในค่ายฉงฉีมานานแล้ว จะมากหรือน้อยคงรู้ว่าลุ่มน้ำนี้ตรงไหนบ้างที่เหล่าเจอกูมักไปเป็นประจำ หรืออาจซ่อนสิ่งของไว้ที่ใด ใช่หรือไม่”
เหมยจิ่นมองดูเหมยซูเหมือนเห็นคนบ้า “แค่ก…เจ้าคิดว่า…ข้าจะบอกเจ้าหรือ”
เขาเข้ากับฝ่ายที่เป็นคู่ปรับตระกูลตู้ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะโค่นเหมยซูลงได้ หรืออาจโค่นตระกูลเหมยทั้งตระกูลด้วยซ้ำ เขาจะช่วยมันทำไม!
เหมยซูแลดูเขาสีหน้าเฉยเมย คิ้วคางยังคงกรุ่นด้วยกลิ่นอายหมอกควันของเจียงหนานชวนหลงใหล “ไม่หรอก เจ้าต้องบอกข้าแน่ เพราะเจ้าอยากให้เซียงจื่อมีความสุข มิใช่หรือ”
“พี่หญิง…!” พริบตานั้น เหมยจิ่นเบิกตากว้างจนหางตาแทบฉีก “เจ้าทำอะไรกับพี่หญิงข้า…แม้…แม้นางจะมิใช่ท้องเดียวกับมารดาเจ้า แต่ถึงอย่างไรยังคงเป็นน้องสาวเจ้า…แค่ก…แค่ก…แค่ก”
เหมยซูก้มมองเขา ยิ้มอย่างนุ่มนวล “นั่นนะสิ นางเป็นบุตรีคนเดียวของตระกูลเหมย ย่อมควรมีการเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเหมือนแก้วตาดวงใจ”
เขาหยุดลงแล้วพูดต่อ “แต่สุดท้ายแล้วนางจะเป็นแก้วตาดวงใจ หรือจะตามรอยแม่รอง ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้านะเหมยจิ่น”
เหมยจิ่นมองดูเขาอย่างสิ้นหวัง แค้นนักที่มิอาจพุ่งเข้าไปบีบให้ตายคามือ แต่สุดท้ายแล้วเขายังคงพบอย่างสิ้นหวังว่า มือเท้าของตนไร้เรี่ยวแรงและได้แต่กองอยู่กับพื้น
มิรู้ผ่านไปนานเท่าใด เปลวเทียนไขเล่มหนึ่งไหวไปมา พลันถูกลมพัดดับวูบลง กลิ่นคาวเลือดในอากาศเข้มข้นขึ้นทุกที
แม่น้ำยามราตรีดูแล้วเหมือนเงียบสงบ ในความเป็นจริงกลับเชี่ยวกรากยิ่งกว่ากลางวัน
ถึงอย่างไรเหล่าเจอกูก็มิใช่อินชวนกง ฝีมือการพายเรือถ่อเรือออกจะด้อยอยู่บ้าง ถ่อเรือลำน้อยล่องต่อไป ถูกกระแสน้ำซัดจนโคลงเคลง ทำเอาคนที่นั่งในเรือต้องยึดกราบเรือไว้แน่นจึงพอจะฝืนนั่งอยู่ได้
โจวอวี่ไม่เคยนั่งเรือ สีหน้าซีดแล้วเขียวคล้ำ เกาะกราบเรือแน่นตลอดทาง ของในท้องอ้วกแล้วอ้วกอีกจนหมดเกลี้ยง
เขาเพียงนึกว่ายังโชคดีที่เป็นกลางคืน จึงไม่มีใครเห็นสภาพทุเรศทุรังของเขา
โจวอวี่เช็ดสิ่งสกปรกที่มุมปาก พอเงยหน้าขึ้นพลันเห็นสภาพทางโน้นสีหน้ายิ่งเขียวคล้ำ!
“พอแล้ว พอแล้ว ข้าไม่ตกน้ำหรอก” ชิวเยี่ยไป๋ยื่นมือยันไหล่ของหยวนเจ๋อไว้ไม่ให้เขาพิง น้ำเสียงรำคาญสุดขีด นางก็เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาบู๊ส่วนมากที่ไม่ชอบให้ใครพิงใกล้ๆ กลิ่นตัวของผู้อื่นมักทำให้นางประสาทเขม็งเกลียวและเข้าสู่ภาวะตื่นตัว
หยวนเจ๋อมือหนึ่งยุดชายเสื้อนาง นั่งอิงตัวใส่นาง กล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ประสก ต้องระวังตัวนะ”
นางมองหยวนเจ๋อแวบหนึ่ง อาศัยแสงจันทร์เห็นสีหน้าหยวนเจ๋อกังวลจริงๆ มิได้เสแสร้ง นึกในใจว่าคนหน้าตาดีเช่นนี้ถึงกับกังวลห่วงใยตน น่าพอใจจริงๆ
“ตอนนี้เจ้าเหมือน ‘ไต้ซือ’ ที่เปี่ยมด้วยเมตตาจิตแล้ว” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ และมิได้ผลักไสร่างที่อิงเข้าหานางอีก
โจวอวี่แค่นเสียง ทำไมเจ้าหลวงจีนโง่งมจึงไม่ห่วงใยเขา เห็นได้ชัดว่าคิดมิดีมิร้าย แต่ใต้เท้าก็เป็นคนฉลาด ย่อมรู้ความจริงแน่!
โจวอวี่มิได้คาดฝันว่าการเดาส่งเดชในใจจะกลายเป็นความจริงอย่างรวดเร็ว!
หยวนเจ๋อแลดูเรือน้อยที่โคลงเคลงแวบหนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “เกิดประสกตกลงไปในน้ำ ก็จะไม่หอมแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงเลิกคิ้วถามว่า “อะไรที่ว่าไม่หอมแล้ว”
หยวนเจ๋อส่ายศีรษะ กล่าวอย่างจริงจังว่า “สองท่านเคยเห็นขาหมูพะโล้ตกน้ำแล้วยังหอมอร่อยเหมือนเดิมหรือ อาหารใดๆ ก็ตามถ้าปรุงเสร็จแล้วตกลงในน้ำ ก็จะสูญเสียความหอม กินไม่อร่อย”
ขณะเขากำลังถ่ายทอดประสบการณ์ของนักชิม ยังอุตส่าห์ไม่ลืมฉุดชายเสื้อชิวเยี่ยไป๋ไปมา เพื่อประกันว่า ‘อาหาร’ ของเขาจะไม่ตกลงไปในน้ำ!
โจวอวี่ฟังแล้วพลันมองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างเห็นใจ แต่พริบตาที่ชำเลืองมองก็ประหลาดใจว่าทำไมรอยยิ้มของใต้เท้าเราจึงเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ น่าตกใจจริงๆ
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มมองดูเขา ตบมือเขาเบาๆ “อาเจ๋อ จิตใจที่งดงามของเจ้าข้าชื่นชมมาก ข้าจึงตัดสินใจว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนต้องสำนึกในพระคุณของพุทธะ พรุ่งนี้จะเริ่มกินเจสามวัน เช้ากลางวันเย็นทั้งสามมื้อต้องเป็นข้าวต้มกับผักดอง!”
หยวนเจ๋อฟังแล้วงุนงง หลังแน่ใจในข่าวร้ายว่าต้อง ‘กินเจ’ แล้ว ใบหน้าแสนงดงามก็เปลี่ยนสี นึกถึงวันนั้นหลังจู่ๆ ก็พลัดกับพรรคพวก และก่อนจะพบกับเถ้าแก่จูก็ต้องอดอยากอย่างน่าอนาถอยู่สองสามวัน พริบตานั้นสีหน้ายังซีดเผือดกว่าโจวอวี่เสียอีก ราวกับว่าคนที่กำลังอ้วกจนเป็นบ้าเป็นหลังนั้นคือตัวเขาเอง!
เขากล่าวตะกุกตะกัก “อา…อา…มิ…ตาภพุทธ ความศรัทธาต่อพุทธะ มิใช่…ปาก…”
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชิวเยี่ยไป๋ขัดขึ้นอย่างเฉียบขาด “เอาล่ะ อาเจ๋อไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้ว!”