อาทิเช่นนิกายมี่จงหรือศาสนาพราหมณ์ที่มีมาก่อนหน้านั้น
ทว่า…
นางนึกไปนึกมาพลันถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเจ้าเล่า เคยกินเนื้อคนไหม”
หยวนเจ๋อฟังแล้วยิ้มน้อยๆ มองดูนาง ดวงตาสีเทาเงินที่บริสุทธิ์ในยามปกติ ยามนี้ฉายแววลึกลับชวนฉงน เหมือนทะเลแสงจันทร์ที่งดงามแต่เยือกเย็น “แล้วประสกเสี่ยวไป๋คิดว่าอาตมาเคยหรือไม่เล่า”
ชิวเยี่ยไป๋จ้องตากับเขาครู่หนึ่ง ในใจพลันรู้สึกเย็นเยือกอย่างประหลาด
บรรยากาศรอบข้างพลันคลุมด้วยกลิ่นอายอันเย็นเยียบพิกล จนกระทั่งหยวนเจ๋อพลันหันหน้าไป หลุบตาลง นับลูกประคำในมือแล้วหัวร่อเบาๆ “ประสกเสี่ยวไป๋มิต้องกังวล ท่านเป็นอาหารล้ำค่า อาตมาย่อมไม่กินท่านง่ายๆ แน่”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาพักใหญ่ หรี่ตาลงยื่นมือเชยคางเขาใช้ท้องนิ้วไล้ผ่านริมฝีปากเขาช้าๆ กล่าวเนือยๆ ว่า “วันใดที่เจ้ากินข้าได้จงอย่าได้เกรงใจ”
ถ้าไร้ความสามารถจนต้องกลายเป็นอาหารในจานของผู้อื่น นางก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
หยวนเจ๋อเหลือบมองนางแวบหนึ่งเหมือนตกใจ แววตาเย็นลงแต่กล่าวอย่างจริงจังว่า “จริงหรือ”
หางตานางกระตุกโดยไม่ตั้งใจ ยิ้มน้อยๆ “ชีวิตคนเรายามมีความสุขก็ควรส้องเสพให้เต็มที่ ชูกระบี่ดื่มเหล้าฆ่าศัตรู ยามกลับมาเมามายซุกตักโฉมงาม นี่เป็นสิ่งที่ข้าพึงพอใจ ถ้าถูกหยวนเจ๋อผู้งดงามและเคารพต่ออาหารกินไป ก็เป็นวิธีการตายที่ไม่เลวทีเดียว”
ตั้งแต่วันแรกที่นางติดตามท่านอาจารย์ท่องยุทธจักร ก็มินำพาต่อความเป็นความตายแล้ว ได้ตายใต้ดอกโบตั๋น ถือว่าไม่เลว
หยวนเจ๋อแลดูบุรุษเยาว์วัยที่กึ่งอิงกับกราบเรือท่าทางสบายอารมณ์ ลมเย็นจากแม่น้ำพัดเอาผมยาวสลวยพลิ้วไหว บ้างยุ่งเหยิงระกับใบหน้าที่คมคายมิมีใดปาน กลับขับเน้นให้เค้าหน้าคิ้วคางอีกฝ่ายยิ่งคมสันและเจ้าสำราญ
เขาแลดูจนลุ่มหลง ดวงตาสีเทาเงินฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง ถึงกับมิได้หลบมือของชิวเยี่ยไป๋ที่ลวนลามต่อตน ก้มศีรษะเล็กน้อย “อาตมาจดจำไว้แล้ว”
แต่ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋หารู้ไม่ว่าจะมีวันหนึ่งที่…ตายใต้ดอกโบตั๋น ‘ฝังกาย’ ในปากของหยวนเจ๋อ แต่นั่นเป็นการ ‘ตาย’ ที่แสนรัญจวนอีกแบบหนึ่ง
ส่วนหยวนเจ๋อเองก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาจะ ‘กิน’ ชิวเยี่ยไป๋จริง แต่กลับเป็น ‘วิธี’ กินที่แปลกใหม่และรสชาติสุดพรรณนา
ยามนี้วิธี ‘กิน’ ที่คนทั้งสองนึกคิด กลับเป็นวิธีที่ปกติที่สุดและน่าสะพรึงกลัวที่สุด
สรุปแล้วเป็นดั่งที่พุทธะทอดถอน ล้วนเป็นวาสนา…บาปกรรม
นั่นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า
จะกล่าวถึงเวลานี้ โจวอวี่แลดูคนทั้งสองก็อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเบือนหน้าหนี ในใจมิทราบมีรสชาติอย่างไร
คำสนทนาที่น่าตกใจทำเอาเขาคิดอะไรไม่ออก และทำให้เขารู้จักชิวเยี่ยไป๋ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นก่อน รับรู้ถึงกลิ่นอายของความห้าวหาญและความเจ้าสำราญที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน เป็นความกร้าวแกร่งเหมือนคมดาบที่ตัดสินบุญคุณความแค้นอย่างหมดจด
และเขาถึงกับมิรู้ว่าใต้เท้ากับหยวนเจ๋อกำลังพูดอะไร ซ่อนความนัยอย่างไร
เขาเคยบอกว่าจะถือใต้เท้าเป็นสหายผู้รู้ใจ นาทีนั้นเขารู้สึกว่าทั้งสองคนนี้ภายใต้แสงจันทร์เหมือนถูกคลุมด้วยหมอกพิกล ขวางกันพวกเขาออกจากทุกคน ทำให้ไม่มีใครสอดแทรกได้
การเดินทางในเวลาต่อมาราบรื่นดีและไม่มีใครพูดมากอีก ก็มิทราบเลี้ยวหลบน้ำวนไปกี่แห่ง หลบหลีกโขดหินไปมากน้อยเท่าใด ผ่านถ้ำไปกี่แห่ง และแล้วเหล่าเจอกูพลันบอกว่า “ถึงแล้ว ตรงนี้แหละ!”
ชิวเยี่ยไป๋ลุกขึ้นทันที เห็นเหล่าเจอกูนำเรือเข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วโยนเชือกสมอพันกับเสาหินต้นหนึ่งและกระโดดขึ้นจากเรือยืนบนแง่งหินในถ้ำ กวักมือเรียกพวกเขา
ชิวเยี่ยไป๋สะกิดปลายเท้าเหินกายขึ้นยืนบนแง่งหิน จุดคบไฟในมือ อาศัยแสงคบไฟกวาดมองสำรวจสภาพของถ้ำ นี่เป็นถ้ำที่ลึกมาก ก็มิทราบว่าเป็นภูเขาลูกใดแตกเป็นช่องเช่นนี้ น้ำในคลองขุดไหลเข้าไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ
โจวอวี่ก็กระโดดขึ้นฝั่งเหลียวมองรอบๆ และยื่นมือลูบคลำผนังถ้ำกล่าวเบาๆ ว่า “ถ้ำนี้น่าจะเป็นรอยร้าวตอนระเบิดหินสมัยขุดคลอง นานวันเข้ารอยร้าวก็กว้างขึ้นและลึกเข้าไปในภูเขา เนื่องจากมิใช่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจึงไม่มั่นคงนัก มักมีเศษหินร่วงหล่นลงมา ดังนั้นถ้าพวกเราจะเข้าไปต้องระมัดระวังให้มากและต้องรีบเข้ารีบออก”
เหล่าเจอกูฟังแล้วหัวร่อ ‘เหอะๆ’ จุดคบไฟอีกอัน มองดูโจวอวี่อย่างแปลกใจ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยจะรอบรู้อยู่บ้าง”
โจวอวี่เห็นชิวเยี่ยไป๋กำลังมองดูตนเช่นกัน จึงกล่าวอย่างขวยเขินว่า “สมัยที่ยังอยู่ราชธานี ข้าน้อยชอบไปเที่ยวกับเพื่อนๆ มีการละเล่นอย่างหนึ่งเรียกว่าพนันถ้ำ ถ้าชนะก็จะได้เหมืองนั้นไป และสินแร่ในเหมืองก็เป็นของคนชนะพนัน ดังนั้นข้าน้อยจึงเรียนรู้มาบ้าง”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มพลางหยอกเย้า “ดูท่าการยิงนกตกปลาตีหัวสุนัขใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ พวกเจ้าเดิมพันสูงมากนะ”
โจวอวี่ยิ่งรู้สึกขวยเขิน รีบเร่งชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้า เราไปกันเถอะ”
ชิวเยี่ยไป๋ผงกศีรษะ ให้เหล่าเจอกูนำทางอยู่ด้านหน้า ทว่าเดินไปได้สองก้าว ก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด คล้ายกับว่าขาดอะไรไป
เมื่อนางหันกลับมา พลันพูดไม่ออก…
หยวนเจ๋อกำลังกอดเสาหินต้นหนึ่งปีนป่ายอย่างทุลักทุเล เท้าและชายเสื้อเปียกไปหมดแล้ว
โจวอวี่ก็เห็นจึงกล่าวอย่างรำคาญว่า “เจ้ายังจะเสแสร้งทำเป็นไม่มีพลังฝีมืออีก เร็วหน่อยน่า อย่าเสียเวลา ไม่อย่างนั้นกลับไปจะไม่ให้เจ้ากินข้าวต้มด้วยซ้ำ!”
หยวนเจ๋อสั่นศีรษะ ถ้ามิใช่สองมือกอดเสาหินอยู่ คงประนมมือร้อง ‘อามิตาภพุทธ’ แล้ว
ยามนี้เขาจึงได้แต่บอกว่า “อาตมาเป็นสาวกแห่งพุทธะจะใช้พลังฝีมือการต่อสู้โดยไม่จำเป็นมิได้ จะเป็นการทำลายมรรคผลที่บำเพ็ญเพียร จึงต้องใช้วิธีของคนธรรมดา…”
เขาพูดไม่ทันขาดคำก็เห็นเงาร่างสีเขียววาบผ่านสายตา พลันรู้สึกถูกคนหิ้วขึ้นไป แล้วโยน โครม ลงกับพื้น
ชิวเยี่ยไป๋ปล่อยมือแล้วพูดกับเหล่าเจอกู “พวกเราไปเถอะ”
เหล่าเจอกูเห็นหลวงจีนที่ถูกทุ่มจนตาลาย นึกถึงท่าทางแสนจริงจังของเขาตอนเทศนาบนเรือก็อยากหัวร่อ แต่ยังคงกริ่งเกรงฝีมือการสวดส่งวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัว จึงสู้กลั้นไว้ชูคบไฟเดินนำหน้า
โจวอวี่เดินผ่านหยวนเจ๋อ สั่นศีรษะอย่างถากถาง “จิ๊ๆ อย่าเสแสร้ง ระวังฟ้าจะผ่าเอา”
ประโยคติดปากนี้เป็นของเสี่ยวชี เมื่อก่อนเขามักรู้สึกว่าหยาบคาย แต่ยามนี้ใช้อย่างเหมาะสมจริงๆ