หยวนเจ๋อท่าทางเหมือนโดนฟ้าผ่า แลดูชิวเยี่ยไป๋ที่ท่าทางตัดสินใจแล้ว เขาขยับริมฝีปาก สุดท้ายกัดริมฝีปากอันงดงามสีแดงสดไว้แน่น ก้มหน้าลงช้าๆ หางตายังฉายแววโศกเศร้าจางๆ
คนงามยามโศก แต่ไรมาดูแล้วน่าสงสารเป็นที่สุด อย่าว่าแต่หยวนเจ๋อผู้แสนงดงามและบริสุทธิ์ ท่าทางโศกเศร้าทำเอาโจวอวี่ตะลึงลาน และจู่ๆ กลับบังเกิดความเวทนาอย่างมิรู้สาเหตุ
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมเห็นเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงถอนใจกล่าวว่า “ถ้าอาเจ๋ออยากกินเนื้อก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
หยวนเจ๋อได้ยินก็ตาเป็นประกาย ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้าง ดีใจจนออกนอกหน้า ภายใต้แสงจันทร์สลัว ขับให้เห็นใบหน้าขาวผ่องราวหยกเนื้อดีเหมือนดอกถานฮวาที่เบ่งบานหน้าพุทธะ สวยงามจนหาที่เปรียบมิได้
ชิวเยี่ยไป๋เคยเห็นคนงามมามากยังคงสะดุ้งกับความงดงามนี้ แต่หลังชื่นชมกับแววตาที่เหมือนสุนัขตกน้ำจนเปียกโชกแล้ว นางก็ยิ้มออกมายื่นมือตบแก้มเขาเบาๆ กล่าวว่า “ไว้กลับไปแล้ว เจ้าจงไปหาเถ้าแก่จูที่เหลาสุราตงอั้นแห่งนั้น บางทีเขาอาจสำนึกบุญคุณที่เจ้าช่วยลูกสาวเขาไว้ และสงเคราะห์เจ้าอีกครั้ง ย่อมดีกว่าติดตามคนยากไร้อย่างข้าซึ่งไม่มีเนื้อจะให้เจ้ากิน คนทั่วไปคงเลี้ยงเจ้าไม่ไหว”
ที่นางพูดเป็นความจริง คนกินจุเช่นหยวนเจ๋อไม่มีใครเลี้ยงไหวแน่
พริบตานั้น ‘ดอกถานฮวา’ พลันหุบลง แลดูนางอย่างรันทด จิตใจย้อนแย้งอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อามิตาภพุทธ อาตมามิใช่คนมุสาเรื่อยเปื่อย ในเมื่อรับปากประสกแล้ว ย่อมต้องติดตามประสกวันยังค่ำ อย่าว่าแต่บุญสัมพันธ์ระหว่างเถ้าแก่กับอาตมาหมดสิ้นไปแล้วเลย”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางคับข้องของเขาก็นึกพอใจที่ได้ระบายความอัดอั้น จึงลูบผมสีเทาเงินเล่น “จริงหรือ”
ไอ้หมอนี่ไม่ถึงกับโง่งมจนไม่รู้เรื่องราวทางโลกเลย ยังอุตส่าห์รู้ตัวด้วยว่าความตะกละของตนเองเป็นที่น่ารังเกียจ แถมยังรู้จักคว้าผู้มีอุปการคุณไว้แน่นด้วย
นาทีต่อมาหยวนเจ๋อแลดูนางอย่างจริงใจ พลันประนมมือกล่าวว่า “แต่หากประสกได้ดิบได้ดีจงอย่าลืมกัน ยามที่ประสกกินเนื้อจงอย่าได้ลืมอาตมาเด็ดขาด จงผูกบุญสัมพันธ์กับพุทธะ อาตมาจะอธิษฐานให้ประสกมีแต่ความสุข อามิตาภพุทธ”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางเปี่ยมด้วยความการุณของเขา ก็หัวร่อเบาๆ อย่างอดมิได้ “มิทราบว่าพุทธะทำกรรมใดไว้ จึงได้รับเอาเจ้าผู้ไร้ยางอายเป็นศิษย์ เพื่อการกินถึงกับทำอะไรได้ทุกอย่าง”
โจวอวี่ก็หัวร่อลั่นอย่างอดมิได้ “เจ้าหลวงจีนคนนี้ วันใดที่หิวสุดขีด มีหวังกินเนื้อคนด้วยแน่”
หยวนเจ๋อแลดูเขา เชิดริมฝีปากเล็กน้อย “ทำไมจะไม่ได้”
โจวอวี่ตะลึงงัน คล้ายกับสงสัยในสิ่งที่หูตนได้ยินเมื่อครู่ “เจ้าว่าอันใดนะ”
ชิวเยี่ยไป๋หยุดหัวร่อแลดูเขา อยากดูว่าเขาพูดเล่นหรือไม่ แต่เห็นหยวนเจ๋อใต้แสงจันทร์แววตาสดใสราวผลึกแก้ว ดูแล้วทำให้ผู้คนจิตใจสงบซ้ำยังมีแววปรานี เขากล่าวเนือยๆ ว่า “ใดๆ ในโลกนี้ย่อมสัมพันธ์กันวนเวียนดุจวิถีฟ้า คนหรือสัตว์หรือพืชปลาหนอน ก็แค่สรรพสิ่งเท่านั้น ความโลภในใจคนกลืนกินได้ทุกอย่างในใต้ฟ้าเฉกเดียวกับพยัคฆา เมื่อไม่มีอะไรจะกินแล้ว ตามหลักวัฏจักรของวิถีฟ้า ที่เหลือให้กินได้ย่อมเป็นคน มิได้ประหลาดแต่อย่างใด”
วาจาแสนสงบกล่าวเนือยๆ ถึงคำพูดที่ชวนขนลุก กลับทำให้ผู้คนฟังแล้วยอมรับได้ ราวกับว่าต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ทว่า…
โจวอวี่ขมวดคิ้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่ คนเป็นสัตว์ประเสริฐจะเปรียบกับเดรัจฉานมิได้ คนกินคน เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก”
“ชาติก่อนไม่ทำบุญ ทำแต่บาปกรรม ย่อมเกิดเป็นเดรัจฉานและอาจเกิดเป็นหนอนแมลงด้วยซ้ำ มิใช่เป็นอาหารหรือถูกย่ำยีเช่นกันหรอกหรือ” หยวนเจ๋อคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มหมุนคลึงลูกประคำในมือ
พริบตานั้นโจวอวี่สะอึก นี่…ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
เขายังคงรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่รู้จะเถียงหยวนเจ๋ออย่างไร จึงได้แต่ฝืนกล่าวว่า “ไม่ นี่ไม่ถูกต้อง”
เหล่าเจอกูที่นิ่งเงียบอยู่ข้างๆ พลันสอดคำ “ข้าฟังมาว่าพวกชนเผ่าเฮ่อเฮ่อเมื่อก่อนก็กินคน ถือว่าคนในจงหยวนอย่างพวกเราคือแพะสองเท้า เมื่อราชวงศ์ก่อนชอบมาปล้นชิงตามชายแดนจงหยวนของเรา แม้แต่สตรีสูงศักดิ์ที่ทางเราส่งไปวิวาห์เพื่อผูกไมตรี บางครั้งก็โดนจับไปกินด้วย จนกระทั่งองค์มหาจักรพรรดิเจินอู่สถาปนาอาณาจักรเทียนจี๋แล้ว จึงได้แต่งตั้งแม่ทัพป้องกันชายแดน ให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ฉี่เฝ้าด่าน พวกชาวเฮ่อเฮ่อจึงไม่กล้ามาราวีอีก และแล้วจึงค่อยๆ แก้นิสัยเลวร้ายเรื่องการกินคน”
ได้ยินชื่อบรรพบุรุษของตน ชิวเยี่ยไป๋ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยบังเกิดความสนใจ กับเรื่องตระกูลของตนนางรู้น้อยกว่าคำร่ำลือของชาวบ้านเสียอีก
โจวอวี่ฟังแล้วก็พึมพำว่า “ไอ้พวกคนเถื่อน”
หยวนเจ๋อมิได้มองดูเขา สรรเสริญพระพุทธคุณคำหนึ่ง แลดูผิวน้ำเบื้องหน้ากล่าวอ้อยอิ่งว่า
“อามิตาภพุทธ ประสกผิดแล้ว คนเถื่อนก็เป็นคนเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างคนกับคน ก็แค่มีอกุศลจิตมากหรือน้อยเท่านั้น ยามเกิดอกุศลจิต เข่นฆ่าพวกเดียวกันเป็นพันเป็นหมื่น เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก การกินคนถือว่าเป็นธาตุแท้ตามธรรมชาติ มิใช่เลวร้ายสุดโต่งแต่อย่างใด”
หยวนเจ๋อยามนี้รอบกายคลุมด้วยแสงจันทร์เรืองๆ ในความสงบยิ่งมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา คล้ายกับพุทธะที่ประทับกลางดอกบัวกำลังเผยแผ่ธรรมมะ เหมือนหลวงจีนผู้บรรลุแก่นธรรมกำลังปุจฉาวิสัชนาธรรม คำพูดและน้ำเสียงของเขานุ่มนวลเปี่ยมด้วยเมตตาจนชวนหลงใหลอย่างน่าประหลาด
โจวอวี่ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ได้แต่เงียบงัน เขาไม่อยากจะพูดต่อ เพราะอาจทำให้ตนเองหลงคิดว่าการกินคนเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้
ส่วนเหล่าเจอกูมิทราบนึกอะไรขึ้นมาได้ เอาแต่พายเรือจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ชิวเยี่ยไป๋จ้องมองหยวนเจ๋อ แววตาเย็นเยียบ นางไม่เข้าใจคนผู้นี้จริงๆ คำจำกัดความดีชั่วของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป
หากจะว่าเขาชั่ว เขากลับมีเมตตาต่อสรรพสิ่งแม้ดอกไม้ใบหญ้าริมทาง นางยังเคยเห็นเขาพูดกับต้นไม้ใบหญ้านกกาหนอนแมลงด้วยซ้ำ จนนางแทบจะคิดว่าต้นไม้ใบหญ้าก็มีวิญญาณ และท่าทางยามนั้นแสนงดงามเปี่ยมด้วยมุทิตาจิต ทำให้ดูแล้วรู้สึกว่าจิตใจกำลังถูกชำระล้างให้สะอาด และชาวโลกล้วนมัวเมามิรู้ความ
แต่ถ้าจะว่าเขาดี ยังไม่ต้องพูดถึงฉากการเข่นฆ่าขนานใหญ่เช่นนี้ และยังกินอาหารคาวทุกชนิด แต่การกดคนเป็นๆ ฝังกับเสากับพื้นสร้างอเวจีในแดนมนุษย์ ยังติดตาจนถึงขณะนี้
ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้าที่สงบสูงส่ง รอบกายเขากลิ่นอายเลือนราง ทำเอาผู้คนแทบอยากจะก้มลงกราบที่แทบเท้า นางรู้สึกสงสัยในใจ
หยวนเจ๋อดูไม่เหมือนหลวงจีนน้อยที่ไม่ประสาต่อโลกเลย แม้ยามปกติจะเซ่อซ่าโง่งม แต่คราใดที่พูดถึงพุทธะเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคน และหลักการที่พูดแม้ฟังแล้วจะเหลวไหล แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล หลังพุทธะนิกายทิเบตเข้าสู่อาณาจักรแล้ว พุทธะสายหินยานมีการแก้ไขจากผู้คนนับมิถ้วน จึงได้มีสภาพเช่นทุกวันนี้
และคำสอนของหยวนเจ๋อทำให้นางนึกขึ้นได้ว่า หลักการเหล่านี้สอดคล้องกับหลักการของดินแดนก่อกำเนิดของศาสนาพุทธและเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งอย่างเป็นเอกลักษณ์