ตอนที่ 510 จำไว้ว่าเจ้าแซ่มู่ / ตอนที่ 511 มีพระราชโองการให้ยกกองทัพ
ตอนที่ 510 จำไว้ว่าเจ้าแซ่มู่
มู่เจี๋ยเอามือไพล่หลังเดินมาที่ข้างหน้าซูจิ่วซือ ดวงตาทั้งสองเจิดจ้า ยามยิ้มแก้มทั้งสองมีลักยิ้ม ใบหน้าน่าใกล้ชิด
เขาจ้องหน้าซูจิ่วซือเขม็ง “หลังจากเจ้ามาอยู่ที่ตระกูลมู่แล้ว ก็เกิดเรื่องมากมาย เวลานี้ข้านึกสงสัยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่ความบังเอิญ ตั้งแต่แรก เจ้ามาด้วยจุดหมายบางอย่าง เจ้าอยากดึงตระกูลมู่ไปช่วยองค์รัชทายาท”
“ข้าอยากช่วยองค์รัชทายาทจริงๆ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องบังเอิญ ข้ามาตูเฉิงเพื่อองค์รัชทายาท” ซูจิ่วซือไม่ได้ปิดบังจุดหมายของตน มู่เจี๋ยเป็นคนที่เข้าใจอะไรชัดเจน ปกปิดก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงพูดอย่างเปิดเผย “การเข้ามาในตระกูลมู่เป็นลิขิตฟ้า และเป็นความบังเอิญจริงๆ”
ถ้าไม่ใช่เพราะนางโชคดีที่เจอซิ่วหลานในสำนักวิหคเขียว นางคงไม่สามารถเข้ามาในตระกูลมู่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ลิขิตฟ้า แต่แสดงว่านางกับตระกูลมู่มีวาสนาต่อกันไม่น้อย
มู่เจี๋ยไม่ได้ซักถาม เขานั่งบนม้านั่งหิน เด็กหนุ่มอายุน้อยกลับพูดอย่างมีอำนาจ “คำนี้พูดถูกต้อง เป็นลิขิตฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่ชอบเจ้า ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไม่ให้เจ้าอยู่ที่ตระกูลมู่แม่ เจ้าเป็นคนสร้างความผูกพันกับท่านแม่ได้อย่างประหลาด
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นซือซือจริงหรือไม่ ในเมื่อเข้ามาในตระกูลมู่แล้ว ก็เป็นคนของตระกูลมู่ หวังว่าวันหลังเจ้าจะจำไว้ว่าเจ้าแซ่มู่ ไม่เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจเจ้าแน่”
“ตั้งแต่ข้าเข้ามาในตระกูลมู่วันแรก ที่นี่ก็เป็นบ้านของข้า ข้าจะอยู่ร่วมกับตระกูลมู่ไม่ว่ายามรุ่งเรืองหรือตกต่ำ เรื่องของพี่รองข้าขออภัยจริงๆ ข้าปกป้องพี่รองไม่ได้”
พอพูดถึงมู่หยาง ซูจิ่วซือยังคงรู้สึกผิด
มู่เจี๋ยสีหน้าสลด “พี่รองรู้สึกผิดต่อซือซือมาตลอด พี่รองจึงดีกับเจ้ามาก เรื่องนี้ข้าได้ยินมาแล้ว ไม่โทษเจ้า
แม้เจ้าจะสร้างความยุ่งยากให้ตระกูลมู่มาก แต่ก็ช่วยให้ท่านพ่อได้ตัดสินใจ เรื่องราวเหล่านี้ตระกูลมู่เองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเจ้าถือว่าตัวเองเป็นคนตระกูลมู่ งั้นเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
มู่เจี๋ยพอกลับมาก็พูดคุยกับมู่อวิ๋นชางและมู่หย่งในห้องหนังสือเป็นเวลานาน เรื่องราวที่พูดคุยล้วนแต่เกี่ยวข้องกับซูจิ่วซือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากซูจิ่วซือเข้ามาในจวนเขารู้หมดแล้ว ดังนั้นเวลานี้เขาเข้ามาไม่ใช่เพื่อถามซูจิ่วซือ แต่อยากทดสอบซูจิ่วซือ ดูว่านางต่างกับที่เขาจินตนาการอย่างไรบ้าง
จากที่สังเกตมาหลายวัน ซูจิ่วซือเป็นคนมีน้ำใจ ตระกูลมู่เลือกฟู่เฉินหรงก็ไม่ได้เลือกผิด และไม่คงเสียใจภายหลัง
ซูจิ่วซือยิ้ม “เราเป็นคนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ยินดีต้อนรับกลับบ้าน พี่สาม”
มู่เจี๋ยยิ้มให้ซูจิ่วซือ “ยินดีต้อนรับเจ้ากลับบ้านเช่นกัน น้องสาว”
“พี่สามต้องระวัง เวลานี้ทางเรากับจวนซิ่นอ๋องและตระกูลเฟิงมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่”
มู่เจี๋ยเห็นบนโต๊ะมีส้มวางอยู่ จึงหยิบส้มมาแกะเปลือก แล้วพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการจัดการสมรสให้ฟู่เยว่อี้กับเฟิงเยว่ จวนซิ่นอ๋องเองก็ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิง รัชทายาทรักเจ้า ถ้าเป็นอย่างนี้ ตระกูลเฟิงก็ยืนอยู่ข้างจวนซิ่นอ๋อง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัชทายาท”
“จวนซิ่นอ๋องต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิงจริงๆ จวนซิ่นอ๋องฆ่าเฟิงหยวน ตระกูลเฟิงไม่แน่ว่าจะเข้าเป็นพวกกับจวนซิ่นอ๋อง เฟิงชิงสุ่ยยังคงมีความหวังต่อรัชทายาท เวลานี้นางไม่มีวันเข้าเป็นพวกกับจวนซิ่นอ๋องแน่”
ซูจิ่วซือวิเคราะห์กับมู่เจี๋ย มู่เจี๋ยแกะเปลือกส้มเสร็จ เขาแบ่งให้ซูจิ่วซือครึ่งหนึ่ง ซูจิ่วซือรับส้มที่มู่เจี๋ยยื่นให้ กัดคำหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วทันที เปรี้ยวจัด
มู่เจี๋ยคิดครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ เผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้ม “ได้ยินว่าการแต่งงานของทั้งสองจะจัดพิธีเดือนหน้า ฟู่เยว่อี้อายุไม่น้อยแล้ว มิน่าจึงเร่งรัด
ใต้หล้ารู้ดีว่าเฟิงเยว่ร่างกายบกพร่อง แต่ฟู่เยว่อี้เป็นผู้หญิงปกติ ข้าจะไปหลอกล่อฟู่เยว่อี้ น้องสาวคิดว่าอย่างไร?”
ตอนที่ 511 มีพระราชโองการให้ยกกองทัพ
มู่เจี๋ยพูดจบก็หยิบส้มชิ้นหนึ่งเข้าปาก พูดอย่างรังเกียจ “ส้มนี้ใครให้ เปรี้ยวอย่างนี้ยังเอามาให้น้องสาว ต่อไปข้าจะให้คนส่งส้มหวานมาให้”
ซูจิ่วซือรู้สึกว่ามู่เจี๋ยพูดเล่น จึงยิ้ม “ฟู่เยว่อี้ไม่ใช่คนที่จะหลอกล่อได้ง่ายๆ”
“ถึงหลอกไม่ง่ายก็ยังเป็นผู้หญิง ข้าไม่เชื่อว่านางจะยินยอม คอยดูข้าก็แล้วกัน ถ้าชักจูงฟู่เยว่อี้ได้ การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นอันล้มเลิก เฟิงเยว่ร่างกายบกพร่อง คงไม่สามารถทำหน้าที่ของผู้ชาย”
ความคิดนี้แม้จะใช้ได้ แต่ทำยากมาก ซูจิ่วซือรู้สึกว่าฟู่เยว่อี้ไม่ใช่คนที่จะหลงใหลในความรักแบบหนุ่มสาว แม้จวนซิ่นอ๋องจะประสบความสำเร็จในการอบรมนาง ให้ทุ่มเทใจเพื่อจวนซิ่นอ๋อง
มู่เจี๋ยคิดจะให้คนอย่างนี้หวั่นไหวไม่ใช่เรื่องยากอย่างธรรมดา นางไม่สนับสนุนความคิดนี้ จึงเตือน “พี่สาม เรื่องนี้ไม่เหมาะ ข้าเกรงว่าสุดท้ายคนที่หวั่นไหวก็คือพี่สาม พอถึงตอนนั้นคนที่ช้ำใจก็คือพี่สาม การเอาความรักมาเป็นอาวุธ สุดท้ายมีแต่จะเจ็บทั้งตนและคนอื่น บางเรื่องไม่อาจควบคุมได้”
“เจ้าอายุเพียงแค่นี้ยังเข้าใจอะไรไม่น้อย ข้ามีหลักการของข้า ถ้าจัดการกับฟู่เยว่อี้ได้ จะสร้างความเสียหายให้จวนซิ่นอ๋องไม่น้อย ข้าไม่อยากดูอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ฟู่เยว่อี้ควบคุมตระกูลเฟิง
วิธีนี้ เขาอยากลองดู คนที่ไม่เคยมีความรัก เขารู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมฟู่เยว่อี้ได้
เขากับฟู่เยว่อี้ต่างกัน หลายปีมานี้เขาอยู่ต่างถิ่น แม้ยังไม่แต่งงาน แต่ก็มีเมียน้อยหลายคน เขารู้ว่าทำอย่างไรให้ผู้หญิงพอใจ
สองวันต่อมา ซุ่นตี้ทรงมีพระบัญชาให้ฟู่เฉินหรงยกกองทัพออกไปสู้รบ ทั่วราชสำนักต่างตกตะลึง พากันทูลทัดทาน แต่ซุ่นตี้ทรงตัดสินพระทัยเฉียบขาด จึงกำหนดแน่นอนแล้ว
เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่อันดับหนึ่งของตูเฉิง ทั้งบรรดาผู้สูงศักดิ์และราษฎรพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ทุกคนรู้สึกว่าซุ่นตี้พระสติฟั่นเฟือนไปแล้ว จึงให้คนที่ไม่เคยนำทัพมาก่อนไปรบ ไม่มีใครมองฟู่เฉินหรงในแง่ดี รู้สึกว่าเขาต้องแพ้อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ซูจิ่วซือไม่ได้พูดเรื่องนี้กับตระกูลมู่ แต่รู้ว่าฝ่าบาทมีพระบัญชา ตระกูลมู่เองก็ไม่เข้าใจ
มู่อวิ๋นชางพูดต่อหน้าซูจิ่วซืออย่างตรงไปตรงมา “รัชทายาทไปคราวนี้อันตราย เกรงว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับ ซาหลัวเก่งกาจด้านการขี่ม้า องค์รัชทายาทเมื่อก่อนเป็นคุณชายสูงศักดิ์ ไม่เคยผ่านสนามรบ แม้จะมีจุดหมายเพื่ออำนาจทางทหาร แต่การวางหมากอย่างนี้เสี่ยงเกินไป เท่ากับเอาชีวิตเข้าแลก”
มู่หย่งยิ่งคัดค้านอย่างรุนแรง เขามีความเห็นตรงกันข้าม “ไม่ใช่แค่เอาชีวิตของรัชทายาทไปเดิมพัน แต่เอาชีวิตของทหารทั้งหมดไปล้อเล่น
หากพ่ายแพ้ พวกเขาอาจจะไปแล้วไม่ได้ลับ อย่างนี้ก็เท่ากับส่งทหารไปตาย ซือซือ เจ้าไปเตือนองค์รัชทายาทเถอะ เรื่องนี้ต้องคิดให้รอบคอบ”
มู่หย่งรู้สึกว่าฟู่เฉินหรงต้องแพ้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องคิด
สนามรบไม่ใช่โรงละคร ถึงจะฉลาดอย่างไร ถ้าไม่มีอัจฉริยะด้านการทหาร ไม่มีทางเอาชนะซาหลัวได้ พอถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ไม่สามารถยึดเทียนเฉิงคืน อาจจะเสียหายอย่างหนัก
ตอนที่ฝ่าบาทตรัสเรื่องนี้ในท้องพระโรง เขารีบเข้าไปทูลทัดทาน แต่ครั้งนี้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่ใส่พระทัยการทัดทานของขุนนาง
เรื่องราวของฟู่เฉินหรงในอดีต มู่เจี๋ยก็เคยได้ยินมาก่อน แม้ตอนอยู่แคว้นเว่ยฟู่เฉินหรงเคยรับราชการในกรมกลาโหม แต่ก็เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่ใช่แม่ทัพ
ทำสงครามครั้งแรกก็อยากรบชนะ มีแต่อัจฉริยะเท่านั้น แต่คู่ต่อกรของเขาก็คือถ่าปู้แม่ทัพคนสำคัญของซาหลัว แม้นหากมีเฟิงชิงสุ่ยไปด้วย ก็ยังต้องพิจารณาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาเองก็ไม่ได้มองฟู่เฉินหรงในแง่ดี