ตอนที่ 71 เมื่อถึงคราวลำบาก เสือก็อาจตกเป็นเหยื่อของสุนัข
หลินเยียนขมวดคิ้วจ้องมองลุงคนโต
ในขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูด ชายชราผมสีขาวสวมแว่นสายตายาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้อง ลุงคนรองของหลินเยียนเดินตามเขามาติดๆ
“คุณพ่อ” เฮ่อมู่อวิ๋นมองชายสูงวัยแล้วเอ่ยทักทาย
ชายชราสบตาเธอก่อนพยักหน้า
เขานั่งลงที่โต๊ะกินข้าวพลางกวาดตามองทุกคน “นั่งลงแล้วกินข้าวกันเถอะ ฉันมีเรื่องจะประกาศสักหน่อย”
ทุกคนจัดแจงนั่งบนที่ของตนอย่างรวดเร็ว
“พ่อครับ เรื่องทีมรถแข่งนี่มีทางออกบ้างหรือยัง” เฮ่อสยงถาม
ชายชราเทเหล้าให้ตนเองจอกหนึ่งโดยไม่ปริปากพูดอะไร แต่ลุงคนรองของหลินเยียนตอบคำถามนั้น “เดือนหน้าเราจะแข่งกับทีมของตาแก่ทัง ถ้าเราแพ้ ทีมเราก็ต้องยุบ ไม่มีใครอยากลงทุนกับทีมที่แข่งได้ลำดับสุดท้ายทุกครั้งหรอก”
“ตาแก่ทัง…พ่อครับ นั่นมันอดีตมือขวาของพ่อไม่ใช่เหรอ ไม่ลองโทรคุยดู…” เฮ่อสยงขัด
“ไม่ไหวหรอกพี่ใหญ่ ตาแก่ทังน่ะมันคนเนรคุณ ช่วงหลายปีมานี้มันก็จ้องจะเล่นงานเราอยู่ตลอด รถเราโดนมันเบียดตกสนามมาไม่รู้กี่หน แล้วพี่ยังอยากให้ไปคุยกับมันอีกเหรอ?” เฮ่อเหลียงตอบอย่างเย็นชา “เราต้องบี้ทีมมันให้ได้”
“ทีมตาแก่ทังค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว ถึงมันจะฝึกนักแข่งฝีมือดีได้ไม่มากแต่คนในทีม รถ และเครื่องยนต์ของเราเทียบกับมันไม่ได้เลย…” เฮ่อสยงครุ่นคิดขณะวิเคราะห์สถานการณ์
ในทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เฮ่อเล่อเฟิงลุกขึ้นก่อนเดินไปเปิดประตู
“ลุงทัง?” เฮ่อเล่อเฟิงประหลาดใจมากที่ได้เห็นหน้าผู้มาเยือน
ชายวัยกลางคนที่หวีผมและใส่เจลจนเรียบแปล้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมรอยยิ้มสดใส ในมือของเขามีกระเป๋าเอกสารสีดำ “นายเก่า ผมมาเยี่ยม!”
“ทังเจิ้นอิง ฉันกำลังกินข้าวเย็นกับครอบครัวพร้อมหน้ากันอยู่ และฉันจำไม่ได้ว่าเชิญแกมาร่วมโต๊ะด้วย” ชายชราจ้องมองผู้มาเยือนวัยกลางคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“โธ่ นายเก่า อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้จะมาร่วมโต๊ะสักหน่อย วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นายเคยขัดเกลาผมมาเป็นอย่างดีต่างหาก!” ชายวัยกลางคนยิ้มกว้าง
“หมายความว่ายังไง” ชายชราถาม
“ฮ่าๆ…นายเก่า คุณรู้เรื่องทีมของตัวเองดีกว่าที่ผมรู้ คู่แข่งในคราวหน้าคือทีมของผม และอย่างที่รู้กันดีว่าทีมของคุณไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย ไหนๆ ทีมคุณก็จะโดนยุบอยู่แล้ว ทำไมไม่ขายมันให้ผมซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ? อย่างน้อยๆ ก็ยังมุบมิบเงินได้บ้างนะ คิดว่าไงครับ” ชายวัยกลางคนยิ้มเจ้าเล่ห์
“พูดจบหรือยัง” ชายชรากำหมัดแน่น
“จบแล้วครับ แล้วคำตอบล่ะ” ชายวัยกลางคนตอบ
“ไสหัวไป” ชายชราออกคำสั่ง
ชายวัยกลางคนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้นก่อนยิ้มอย่างเย็นชา “นายเก่า อย่าดื้อเลยน่า ผมยินดีซื้อทีมรถที่น่าอนาถของคุณ ถือเป็นเกียรติสำหรับคุณเลยนะ หลังจากนี้ ต่อให้คุณมาก้มหัวขอร้องให้ผมซื้อทีมหลังจากที่แข่งแพ้แล้วผมก็จะไม่สนใจเด็ดขาด นี่ทั้งตระกูลยังต้องพึ่งเงินจากทีมรถแข่งเพื่อประทังชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไง ลำพังแค่หาข้าวกินให้ครบสามมื้อต่อวันก็น่าจะลำบากแย่แล้ว ทำไมยังยึดติดกับทีมนี้นักล่ะครับ”
“แกจะออกไปได้หรือยัง” เฮ่อเหลียงยืนขึ้นแล้วเขวี้ยงแก้วใส่ที่เท้าของชายวัยกลางคน
“ฮ่าๆ! ก็ได้ ฉันไปล่ะ…คอยดูฉันบี้ทีมรถที่น่าสังเวชของแกด้วยมือเปล่าให้ดีเถอะ แกจะไม่ได้มีโอกาสกลับมาเห็นสนามแข่งรถอีกต่อไป อีกสองอาทิตย์เจอกันที่สนามล่ะ” ชายวัยกลางคนหัวเราะคิกคักก่อนหันหลังออกจากบ้านไป
ตอนที่ 72 จากกันด้วยไม่ดี
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึมครึมและตึงเครียดทันทีเพราะการมาเยือนของทังเจิ้นอิง ทุกคนดูอมทุกข์
คุณตาของหลินเยียนหลับตาลง ดูราวกับว่าเขาแก่ขึ้นอีกสิบปีในชั่วพริบตา
ลุงคนรองของหลินเยียนดูหม่นหมองและเคร่งเครียด “ไอ้ทังเจิ้นอิงมันต้องเล่นงานเราในการแข่งครั้งต่อไปแน่ๆ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
เฮ่อเล่อเฟิงยิ้มเศร้า “พ่อครับ เราไม่มีโอกาสชนะตั้งแต่แรกแล้ว คนนำทางของผมเพิ่งลาออกไปเมื่อสองวันก่อน แล้วเราก็หาคนมาแทนไม่ได้ด้วย นี่จะลงแข่งได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้…”
จู่ๆ ลุงคนโตของหลินเยียนก็ทุบมือลงบนโต๊ะอย่างแรงแล้วตะโกนลั่น “ดูสภาพบ้านเราตอนนี้ซิ! เมื่อก่อนเราครองสนามด้วยสุดยอดทีมระดับแนวหน้า แต่ตอนนี้เราไม่มีแม้แต่คนนำทางด้วยซ้ำ แบบนี้ตาสีตาสาที่ไหนก็เอาชนะทีมเราได้ทั้งนั้น! พอใจหรือยังล่ะที่ได้เห็นตระกูลเราป่นปี้แบบนี้เพราะครอบครัวของแก”
เฮ่อมู่อวิ๋นตัวแข็งทื่อขณะกำนิ้วไว้แน่น สีหน้าของเธอซีดเผือด
เฮ่อเหลียงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “พอเถอะ พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมู่อวิ๋น พวกเราผิดเองที่ไม่มีความสามารถเหมือนทีมอื่น”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ขนาดในเวลาแบบนี้ คุณอายังปกป้องสองแม่ลูกตัวซวยคู่นี้อยู่อีกเหรอครับ พ่อผมพูดถูกแล้ว! ตระกูลเฮ่อคงจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนี้ได้ยังไง ถ้าคนเนรคุณไร้ยางอายพวกนี้ไม่เอาทรัพย์สมบัติของพวกเราไปถลุงเล่นจนหมด”
ชายหนุ่มคนนี้ดูแก่กว่าหลินเยียนและเฮ่อเล่อเฟิงราวสองถึงสามปี เขาคือลูกชายของลุงคนโต เฮ่อหมิงไข่
หลินเยียนมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาก่อนพูดว่า “ถ้าเราเป็นตัวซวย แล้วจะเรียกพี่กับพ่อว่าอะไรดี พวกไม่เอาถ่านที่ได้ที่โหล่ทุกรอบ?”
แม้ว่าหลินเยว่ทงจะเป็นคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังความตกต่ำของตระกูลเฮ่อ แต่เหยื่อที่แท้จริงคือแม่ของหลินเยียน ส่วนลุงคนโต เฮ่อสยง ไม่เคยมีคำพูดที่ดีกับน้องสาวเลยถึงแม้ว่าเธอจะบอบช้ำจากการถูกข่มเหงและถูกหยามเกียรติก็ตาม เขามักจะเย้ยหยันและวิพากษ์วิจารณ์แม่อยู่เสมอ
เฮ่อหมิงไข่โกรธจัดเมื่อได้ยินที่หลินเยียนพูด “หลินเยียน! เมื่อกี้แกพูดอะไรวะ แน่จริงก็ลองพูดอีกทีซิ! กล้ามากนะที่มาด่าว่าคนอื่นเขาเป็นไม่เอาถ่านแต่แกน่ะมันยัยขี้แพ้! ทำไมแกไม่ไปตามตูดพ่อแกต้อยๆ แบบหลินซูหย่าล่ะ! อ้อใช่ ฉันลืมไป! หลินเยว่ทงน่ะเป็นคนทำธุรกิจที่ฉลาด เขาจะเอาคนไม่มีประโยชน์ไปทำไม…”
“พอที! ทุกคนเงียบได้แล้ว”
การโต้เถียงที่โต๊ะอาหารสิ้นสุดลงทันทีเมื่อชายชราสั่งอย่างเฉียบขาด
จากนั้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปสู่ห้องทำงานอย่างเงียบๆ
เฮ่อหมิงไข่เม้มปากแน่นขณะจ้องมองหลินเยียนอย่างรังเกียจ “ยัยหนู แกคงคิดว่าตัวเองสูงส่งมากสินะ แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่! แกรู้หรือเปล่าว่าต้องใช้เงินขนาดไหนในการดูแลทีมรถแข่งน่ะ ถ้าเราไม่มีเงิน เราจะแข่งได้ยังไง แกไม่ลองมาจัดการเองล่ะ แกรู้เรื่องรถแข่งบ้างมั้ย แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายางรถเนี่ยเขาเปลี่ยนกันยังไง! หุบปากไปเลยดีกว่า!”
ลุงเฮ่อสยงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “หมิงไข่ อย่าไปเถียงกับมันเลย มันไม่เข้าใจหรอก!”
หลินเยียนไม่อยากทำให้แม่เป็นห่วงจึงไม่เคยปริปากพูดเกี่ยวกับหน้าที่การงานเลยแม้แต่น้อย มีเพียงหลินซูหย่าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอเคยเป็นนักแข่งรถมาก่อน
หญิงสาวไม่ตอบโต้ เธอยังคงนั่งนิ่งอย่างอดทนขณะที่กวาดตามองชายทั้งสองคน
เฮ่อหมิงไข่และเฮ่อสยงโยนตะเกียบทิ้งลงบนโต๊ะ การรับประทานอาหารของตระกูลเฮ่อจึงจบลงด้วยความเลวร้ายเช่นนี้