ตอนที่ 69 เธอต้องทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้
หลินเยียนรู้สึกขัดแย้งในตัวเองขณะที่กำลังนั่งแท็กซี่
หลังจากถึงที่หมาย เธอขนของจำนวนหนึ่งที่เพิ่งซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตลงจากรถมาให้แม่
“แม่!”
หลินเยียนเคาะประตู
ประตูเปิดผางออกในอึดใจต่อมา หญิงผู้สง่างามและอ่อนโยนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ
เห็นได้ชัดว่ากาลเวลานั้นทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของผู้หญิงได้จริงๆ กระทั่งมือของมู่อวิ๋นเองก็เ**่ยวย่นเช่นกัน แต่ริ้วรอยเหล่านี้ไม่สามารถบดบังความงดงามและรัศมีของหญิงคนนี้ได้
“ทำไมซื้อของมาเยอะแยะอีกแล้วลูก แม่กินไม่หมดหรอกเนี่ย มันจะเสียนะ!”
เฮ่อมู่อวิ๋นรับถุงชอปปิงมาจากหลินเยียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หลินเยียนก้าวเข้ามาในบ้าน พัดลมหน้าตาโบราณกำลังเป่าลมอบอุ่นด้วยเสียงดังหนวกหูเป็นการต้อนรับเธอ
“แม่ หนูไม่ได้ซื้อเยอะขนาดนั้นหรอก อีกอย่างนะ หนูหางานได้แล้ว!” หลินเยียนมองเฮ่อมู่อวิ๋นด้วยสีหน้าเสียใจเล็กน้อย
แม่ของหลินเยียนยืนกรานที่จะอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองเช่นนี้
แม้ว่าหลินเยียนจะหาเงินได้มากมายเมื่อตอนเป็นนักแข่งรถ แต่แม่ของเธอมักส่งเงินที่หลินเยียนให้คืนกลับมาตลอด หลินเยียนอยากหาบ้านใหม่ให้แม่แต่เฮ่อมู่อวิ๋นปฏิเสธ แม่บอกว่าหลินเยียนทำงานหนักกว่าจะได้เงินมาอย่างยากลำบาก
หลินเยียนรู้ดีว่าเหตุผลที่แท้จริงของแม่คือไม่ปล่อยวางจากอดีต และแม่ต้องการลงโทษตัวเองด้วยวิธีนี้
“ถึงจะหางานได้แล้ว แต่เงินนั้นก็มาจากการทำงานหนักของลูก แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น อีกอย่างนะ แม่ก็มีเงินของแม่อยู่แล้ว ถ้าลูกขาดเหลืออะไรก็บอกแม่แล้วกัน ภาพวาดแม่ขายได้ราคาดีอยู่นะ” เฮ่อมู่อวิ๋นมองหลินเยียนแล้วยิ้ม
หลินเยียนอ้าปากกำลังจะพูด แต่เฮ่อมู่อวิ๋นขัด “เสี่ยวเยียน นั่งก่อนเถอะลูก แม่จะเก็บของก่อนแล้วเราค่อยออกไปกัน”
“ค่ะ” หลินเยียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย
หลินเยียนกวาดตามองไปรอบๆ ขณะที่นั่งอยู่บนโซฟา
ผนังรอบบ้านประดับประดาไปด้วยภาพวาดที่อยู่ในสภาพดีและสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นจับ
ภาพวาดเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าของแม่ เฮ่อมู่อวิ๋นมีฝีมือด้านการเขียนและวาดภาพ และผลงานศิลปะของเธอก็สมจริงราวมีชีวิต
แม้ว่าแม่ของเธอจะอ้างว่าเธอสามารถขายภาพวาดและทำเงินได้พอตัว แต่หลินเยียนรู้ดีว่าแม่ไม่เคยขายภาพวาดเลยสักชิ้น
เธอเห็นกระดาษเสียๆ ขวดน้ำแร่ และกระป๋องเปล่าวางอยู่ใกล้ๆ โซฟา
ดวงตาของหลินเยียนเจ็บแปลบขณะที่เธอแอบมองแม่อย่างไม่พอใจและทรมานใจ
สุขภาพของเฮ่อมู่อวิ๋นแย่ลงในช่วงสองสามปีให้หลังจึงทำงานประจำไม่ได้ วังจิ่งหยางเคยบอกหลินเยียนว่าเขาเห็นแม่ของเธอกำลังเก็บขยะไปขาย
“แม่ หนูเช่าอะพาร์ตเมนต์แล้วนะ มาอยู่กับหนูสิ! ที่นี่มันไกลเกินไป” หลินเยียนบอกกับเฮ่อมู่อวิ๋น
ผู้เป็นแม่ยิ้มแล้วส่ายหัว “อะพาร์ตเมนต์เล็กแบบนั้น ลูกอยู่คนเดียวก็เต็มห้องแล้ว”
“มันกว้างพอสำหรับเราสองคนนะแม่!” หลินเยียนกล่าวอย่างกังวลใจ
“ที่นี่น่ะดีแล้ว เงียบสงบด้วย อีกอย่าง แม่ชินกับที่นี่แล้วล่ะ แค่กลับมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ ก็พอ” เฮ่อมู่อวิ๋นพูดโดยไม่ได้มองลูกสาว
หลินเยียนรู้จักแม่ของเธอดี ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนใจแม่ไม่ได้ทั้งนั้น
และหลินเยียนยังรู้อีกด้วยว่าแม่ไม่อยากรบกวนเธอ แม่จึงปฏิเสธที่จะย้ายมาอยู่ด้วย
ทั้งๆ ที่แม่เคยเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดีมีเงินซึ่งเคยใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลและหรูหรา แต่ต้องกลับมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้…
หลินเยียนสาบานกับตัวเองอย่างตั้งใจว่า เธอจะทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรก็ตาม เธอต้องทำได้!
ตอนที่ 70 เข้าใจหรือเปล่า
“เสี่ยวเยียน ไปกันเถอะลูก เราไม่ควรไปสายนะ คุณตาไม่ชอบให้ใครผิดเวลา” เฮ่อมู่อวิ๋นบอกหลินเยียนหลังจากเสร็จธุระ
หลินเยียนพยักหน้าเมื่อได้ยินที่แม่บอกก่อนยืนขึ้น เธอคล้องแขนกับแม่แล้วเดินตรงไปที่ประตู
…
บ้านของแม่อยู่ในแถบชานเมือง ดังนั้น ทั้งคู่ต้องโดยสารรถสาธารณะเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงจะถึงที่หมาย
หลินเยียนหวนคิดถึงความหลังมากมายเมื่อเธอมองบ้านของคุณตา ชีวิตวัยเด็กของเธอเกี่ยวพันกับบ้านหลังนี้อย่างแนบแน่น ความทรงจำที่ดีมากมายเกิดขึ้นที่นี่
หลินเยียนยังจำได้ว่าสมัยเด็กๆ เธอเคยเห็นรถแข่งเก่าๆ คันหนึ่งซึ่งเป็นรถคันโปรดและล้ำค่าที่สุดของคุณตาที่บ้านหลังนี้ แต่เขาจำต้องขายมันไปเมื่อครั้งที่ล้มละลาย
ในไม่ช้า หลินเยียนและแม่ก็เดินมาถึงห้องนั่งเล่น
“ป้า มาแล้วเหรอครับ” เด็กหนุ่มวัยประมาณ 20 ปีจ้องมองเฮ่อมู่อวิ๋น
“เสี่ยวเฟิง” เฮ่อมู่อวิ๋นยิ้มให้เขา
เด็กหนุ่มท่าทางขี้อายคนนี้ชื่อเฮ่อเล่อเฟิง เป็นลูกชายคนเดียวของลุงคนรองของหลินเยียน
คุณตาของเธอมีลูกสี่คน ลูกชายสามและลูกสาวหนึ่ง แม่ของหลินเยียนเป็นลูกคนที่สาม
ส่วนน้าคนเล็กของหลินเยียนตายไปแล้วเมื่อสองปีก่อน หลินเยียนสนิทกับญาติคนนี้มากที่สุดเพราะเขาคอยสอนเทคนิคการขับรถให้เธอมากมาย
หลังจากที่หลินเยียนกลับจากต่างประเทศ เธออาศัยอยู่ที่บ้านของน้าคนเล็กโดยที่ต้องทุกข์ทรมานกับการกลั่นแกล้งสารพัดจากหวังเฉี่ยวฮุ่ยและลูกสาว แต่เธอยอมทนเพื่อน้าชายของเธอ
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากอีกห้อง เขากวาดตามองหลินเยียนและเฮ่อมู่อวิ๋นโดยไม่พูดอะไร
“พี่ใหญ่…” เฮ่อมู่อวิ๋นมองและทักทายเขาอย่างระแวดระวัง
ชายคนนี้คือเฮ่อสยง ลุงคนโตของหลินเยียน เขาตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเธอและแม่เนื่องจากการทรยศของหลินเยว่ทง และเขามักพูดจาเย้ยหยันและประชดประชันเฮ่อมู่อวิ๋นทุกครั้งที่พบหน้า แต่แม่ของเธอก็ก้มหน้าก้มตายอมรับแต่โดยดีและไม่เคยตอบโต้เพราะยังรู้สึกผิด
“คุณตาอยู่ไหนล่ะ” หลินเยียนถามเฮ่อเล่อเฟิงขณะที่มองเขา
“อยู่ในห้องครับพี่ กำลังคุยกับพ่อผมเรื่องทีมรถแข่ง” เฮ่อเล่อเฟิงถอนหายใจก่อนตอบ
“เป็นอะไรไป เสี่ยวเฟิง” หลินเยียนถามไถ่หลังสังเกตเห็นท่าทีของเฮ่อเล่อเฟิง
“อืม…มันก็…” เฮ่อเล่อเฟิงแสดงสีหน้าเคร่งเครียดพลางพยักหน้า “พี่เยียน สถานการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ทีมรถแข่งของเราอยู่ท้ายตารางแล้ว ถ้าเราไม่ชนะการแข่งคราวหน้า เราอาจต้องยุบทีม”
หลินเยียนครุ่นคิด ทีมแข่งรถที่ดีควรมีระบบที่จุกจิกและเข้มงวดแต่ก็ยังให้ความสำคัญกับสมรรถนะ การแข่งรถเป็นเรื่องที่ดุเดือด ดังนั้น การยุบทีมที่ฝีมือด้อยกว่าก็ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป และบ่อยครั้งที่การแข่งขันแบบเดี่ยวสามารถชี้ชะตาของทั้งทีมได้
ขณะที่หลินเยียนกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเงียบๆ อยู่นั้นเอง ลุงเฮ่อสยงก็จ้องมองเฮ่อเล่อเฟิงอย่างไม่พอใจ “เสี่ยวเฟิง จะไปเล่าให้พวกมันฟังทำไม พวกนี้มันรู้เรื่องที่ไหน”
เฮ่อเล่อเฟิงเกาหัวแกรกๆ อย่างลำบากใจและนิ่งเฉยไปหลังจากถูกดุ
“พี่ใหญ่ เสี่ยวเยียนแค่เป็นห่วง ไม่ได้มีเจตนาจะยุ่งอะไรหรอกค่ะ” เฮ่อมู่อวิ๋นรีบอธิบาย
“เป็นห่วง?” เฮ่อสยงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “พวกแกเป็นใครถึงมีหน้ามาเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเขา ที่ตระกูลเราตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะครอบครัวของแกไม่ใช่รึไง? ตกต่ำถึงขนาดที่ทีมรถแข่งสุดรักของพ่อกำลังจะโดนยุบอยู่แล้ว พวกแกมันตัวอัปมงคลชัดๆ นี่พวกแกกล้าถามเรื่องนี้ได้ยังไง ต่อให้พวกเราบอกแล้วพวกแกจะช่วยอะไรได้ พวกแกเข้าใจอะไรกับเขาด้วยรึไง”