ฉินหร่านไม่ค่อยสนใจมากนัก
เธอเปิดหนังสือ ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่รู้”
คนอื่นๆ ในห้องก็แปลกใจมาก ก็แค่นักเรียนใหม่ทำไมเฉียวเซิงต้องทำให้ใหญ่โตแบบนี้ด้วย นักเรียนใหม่คนนี้มีประวัติน่าสนใจใช่ไหม
“เฉียวเซิง เจ๊ฉินก็มาแล้ว เลิกยึกยักได้แล้ว” มีคนเร่งเร้า
เฉียวเซิงมองฉินหร่านแวบหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งวางบนเก้าอี้ของตัว ยกยิ้ม “ผู้หญิง ชื่อเมิ่งซินหราน”
“โอ้โห เธอนี่เองเหรอ”
“ขอบคุณเจ๊ฉิน ขอบคุณปีศาจหลี่ ไม่งั้นเมิ่งซินหรานจะมาอยู่ห้องเราได้ยังไง”
“ฉันจำได้ว่าเธออยู่ที่จิงเฉิงกับทีม OST ไม่ใช่เหรอ มาโรงเรียนเราได้ยังไง”
“คงจะกลับมาสอบแอดมิชชันล่ะมั้ง”
“…”
ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ในห้องจะรู้จักเมิ่งซินหราน
บรรยากาศชุลมุนวุ่นวาย
พอเฉียวเซิงพูดจบ ก็มองฉินหร่านด้วยหางตา ฉินหร่านยังคงก้มหน้าก้มตามือพลิกกระดาษอย่างเชื่องช้า ถึงจะได้ยินคำพูดของเขา แต่สีหน้าท่าทางก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
เฉียวเซิงชะงัก สงสัยมากทีเดียว เขาเดาผิดไปจริงๆ เหรอเนี่ย
เจ๊ฉินไม่ใช่แฟนคลับของ OST หรอ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิดตอนที่ได้ยินชื่อเมิ่งซินหราน
ผู้คนเอะอะโวยวาย จนกระทั่งเพิ่งเงียบลงตอนที่เริ่มคาบแรกของคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำ
เพราะเพิ่งสอบเสร็จ ในข้อสอบจึงมีโจทย์รูปแบบใหม่โผล่มามากมาย ทั้งยากและใช้เวลานาน
เวลาสอนของพวกอาจารย์ไม่พอ สองสามวันนี้มักจะใช้เวลาของคาบเรียนด้วยตัวเองอยู่เสมอ
อาจารย์ฟิสิกส์เดินมือไพล่หลังเข้าห้องเก้าอีกแล้ว
พอวางข้อสอบลงบนโต๊ะ
ก็เริ่มอธิบายข้อสอบเติมคำข้อแรกทันที ทั้งต้องแยกแยะสนามแม่เหล็กแต่ละชนิด การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนแต่ละประเภท แถมยังต้องแยกแยะแรงแต่ละชนิดอีกด้วย…
ยุ่งยากและซับซ้อน หลังอธิบายเสร็จหนึ่งข้อ เวลาของทั้งคาบก็เหลือไม่มากแล้ว
อาจารย์ฟิสิกส์วางข้อสอบลง ไม่อธิบายโจทย์ต่อแล้ว
เขาเดินมือไพล่หลังไปมาในห้อง สุดท้ายก็หยุดตรงแถวที่นั่งของฉินหร่านกับหลินซือหราน
บนโต๊ะยังคงมีหนังสือภาษาต้นฉบับวางอยู่เล่มหนึ่ง
มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกข้างอยู่บนหน้าหนังสือ ใบหน้าเอื่อยเฉื่อย ดูออกว่าฝืนลืมตาอยู่ สีหน้าดูหมดความอดทนนิดหน่อย
ฝีเท้าของอาจารย์ฟิสิกส์หยุดนิ่ง จากนั้นก็ม้วนกระดาษข้อสอบในมือ เอ่ยปากอย่างมีความนัยว่า “คนบางคนเนี่ย ถ้าเก่งฟิสิกส์สักหน่อย คว้าอันดับหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าสอบฟิสิกส์ได้คะแนนเต็ม ไม่แน่อาจจะคว้าอันดับหนึ่งของมณฑลมาครองก็ได้ ถึงตอนนั้นมหาลัยชั้นนำตั้งเท่าไหร่มารอให้เลือก…”
ตอนแรกคนอื่นในห้องกำลังทำโจทย์ที่อาจารย์ฟิสิกส์เพิ่งอธิบายไป พอได้ยินอาจารย์ฟิสิกส์เริ่มพูดอีกแล้ว หลายคนก็ฟุบกับโต๊ะอดหัวเราะไม่ได้
เฉียวเซิงรับแผ่นมันฝรั่งทอดจากผู้ชายที่นั่งข้างทางเดินมาแล้วกัดไปคำหนึ่ง
หยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วใช้ปากกากระทุ้งแผ่นหลังของสวีเหยากวง “คุณชายสวี นายว่าฉินหร่านถนัดฟิสิกส์หรือเปล่า”
ใบหน้าของสวีเหยากวงเรียบเฉย พอฟังเฉียวเซิงพูดจบเขาก็นิ่งไป
จากนั้นเงยหน้ามองฉินหร่านแวบหนึ่ง เหมือนในแววตาจะสั่นระริกขึ้นมาบ้างแล้ว สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ไม่รู้”
“การกระทำของเจ๊ฉินเท่สุดๆ เลย” เฉียวเซิงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ชักมือกลับเอนตัวพิงเก้าอี้ “ไม่เขียนอะไรเลยหมายความว่ายังไง ทำให้คนเดาไม่ออกว่าเธอถนัดฟิสิกส์หรือเปล่า”
แน่นอนว่าไม่มีใครเดาออกว่าฉินหร่านถนัดฟิสิกส์หรือเปล่า เพราะทำคะแนนวิชาอื่นได้ดีขนาดนั้น ต้องถนัดฟิสิกส์แน่นอน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าฟิสิกส์ของเธอจะผิดมนุษย์มนาเหมือนคณิตศาสตร์หรือเปล่า
เฉียวเซิงเผลอมองฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
อีกฝ่ายยังคงหลุบตาต่ำอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่เหมือนเดิม
“เฉียวเซิง เมิ่งซินหรานจะมาโรงเรียนเราตอนไหน” เพื่อนร่วมโต๊ะของเฉียวเซิงเอนตัวมาถามเรื่องของเมิ่งซินหราน
เฉียวเซิงละสายตา “ไม่รู้เหมือนกัน นายให้เหอเหวินไปถามอาเขาดูสิ”
…
ณ บ้านสกุลหลิน
“ซินหราน กินหัวสิงห์น้ำแดงเยอะๆ พอพ่อครัวที่บ้านรู้ว่าหลานจะมา เลยตั้งทำใจเป็นพิเศษเลย” หลินฉีนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ท่าทางดูสง่า
“ขอบคุณค่ะคุณลุง” ผู้หญิงที่พูดสวมคาร์ดิแดนสีเบจ ผมดำขลับ
แขนเสื้อคาร์ดิแกนถูกพับขึ้นหนึ่งทบ เผยให้เห็นนาฬิกาสีเงินเรือนเงิน ข้างบนมีเพชรหลากสีสันหลายเม็ดประดับอยู่
มือคู่นั้นขาวและเรียวยาว ดูออกว่าบำรุงเป็นอย่างดี
เธอพูดน้อย แต่คำพูดกับทุกการกระทำกลับให้ความรู้สึกหยิ่งทะนง
มันเป็นออร่าที่ลูกสาวตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองอวิ๋นเฉิงไม่มี
หนิงฉิงคุยกับฉินหร่านไม่รู้เรื่อง ตอนที่กลับมาถึงบ้านสกุลหลินก็เหนื่อยล้า ปิดปากเงียบระหว่างทานข้าว
เมิ่งซินหรานกินไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง เธอดึงกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งขึ้นเช็ดปาก
หลินฉียื่นมือไปออกคีบอาหารเต็มตะเกียบ หันหน้ามองหนิงฉิง “อวี่เอ่อร์เริ่มแข่งขันหรือยัง”
“อาเล็กกำลังจัดการแล้ว” เพราะมีเมิ่งซินหรานอยู่ หนิงฉิงเลยไม่เป็นตัวเองบนโต๊ะอาหาร รู้สึกเหมือนเมิ่งซินหรานเป็นกระจกที่สะท้อนความไม่เหมาะสมทุกอย่างของเธอ “เมื่อคืนท่านเสิ่นฟังการแสดงสดของอวี่เอ่อร์แล้ว เธอมีแข่งอาทิตย์หน้ารอบหนึ่ง หวังจะฝากตัวเป็นศิษย์ได้สำเร็จ”
ขณะที่พูดเรื่องนี้ ใบหน้าของหนิงฉิงถึงได้มีรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินหว่านเอ่อร์พูดอยู่เหมือนกัน ท่านเสิ่นชอบอวี่เอ่อร์มาก” หลินฉีพยักหน้า
เมิ่งซินหรานไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก
ระหว่างเธอกับหนิงฉิงก็กระอักกระอ่วนจริงๆ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินจิ่นเซวียน ตอนแรกคุณป้าของเธอควรจะเป็นภรรยาของหลินฉี หลังคุณป้าเสีย ก็กลายเป็นหนิงฉิง
กระทั่งได้ยินประโยคของหลินฉี เมิ่งซินหรานถึงได้เงยหน้าขึ้น “สกุลเสิ่น?”
มือที่ถือตะเกียบของหนิงฉิงบีบแน่น เธอยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ”
“ในวงการออนไลน์ สกุลเสิ่นก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน” เมิ่งซินหรานเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณผู้หญิง คุณหนูซินหรานถูกอวิ๋นกวงกรุ๊ปจองตัวแล้ว ต่อไปต้องได้ทำงานในอวิ๋นกวงกรุ๊ปแน่นอน เธอรู้จักวงการเครือข่ายออนไลน์ดี” ป้าจางยกถ้วยชามาให้เมิ่งซินหราน พร้อมกับพูดยิ้มๆ
อวิ๋นกวงกรุ๊ป?
มันคืออะไร
หนิงฉิงงงนิดหน่อย แต่เธอไม่เหมือนเฉินซูหลาน
เธอสงสัย กลับไม่แสดงออกมา แถมยังทำท่าทางเหมือนตัวเองรู้ดี
เธอยิ้ม “ดีจังเลย”
เมิ่งซินหรานยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง มองหนิงฉิงราวกับอ่านใจของหนิงฉิงได้ แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงฉิงค่อยๆ หยุดนิ่ง
“คุณลุงคะ หนูทานเสร็จแล้ว ขอตัวขึ้นไปพักก่อน วันนี้รีบขึ้นเครื่องบินเลยเหนื่อยนิดหน่อย” เมิ่งซินหรานดื่มชาเสร็จก็วางถ้วยชาลง พูดกับหลินฉีแล้วลุกขึ้น
หลินฉีพยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยน “ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าลุงจะส่งหลานไปหาผู้อำนวยการติง จะไปเริ่มเรียนเมื่อไหร่แล้วแต่เวลาพักผ่อนของหลาน”
ตอนที่ฉินหร่านมา มีแค่คนขับรถคอยรับส่ง
แต่กับเมิ่งซินหราน หลินฉีถึงกับวางงานในมือแล้วไปรับส่ง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นความแตกต่างได้ชัด
แม้เมิ่งซินหรานขึ้นห้องไปแล้ว แต่สีหน้าของหนิงฉิงยังคงมึนงง
เมื่อก่อนเธอไม่รู้เรื่องของภรรยาหลินฉีที่เสียไปแล้ว หลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนจะไปเยี่ยมครอบครัวภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วทุกๆ วันขึ้นปีใหม่ แต่ไม่เคยพาหนิงฉิงไปด้วยเลย
เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของหลินฉีเพราะคนในสกุลหลินพูดถึงทั้งนั้น
ได้ยินว่าเป็นลูกสาวตระกูลสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมมากคนหนึ่ง ตระกูลนี้เพิ่งย้ายไปจิงเฉิงเมื่อไม่กี่ปีมานี้
หนิงฉิงรู้ดีว่านอกจากหน้าตาแล้วตัวเองไม่มีอะไรสู้ภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของหลินฉีได้เลย ฉะนั้นจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของฉินอวี่เป็นอย่างยิ่ง
และฉินอวี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
ตลอดหลายปีมานี้ หนิงฉิงเพิ่งเคยเห็นคนทางฝั่งครอบครัวของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของหลินฉี เธอรู้สึกอึดอัดไม่น้อย มื้อนี้ทานข้าวไปแค่ไม่กี่คำ
กระทั่งหลังวิดีโอคอลกับฉินอวี่แล้ว หนิงฉิงถึงสบายใจขึ้นมาบ้าง
…
วันต่อมา หลินฉีพาเมิ่งซินหรานไปหาผู้อำนวยการติง
“เพราะเกิดเรื่องนิดหน่อย เลยย้ายคุณหนูเมิ่งจากห้องหนึ่งไปอยู่ห้องเก้าชั่วคราว” ผู้อำนวยการติงถือถ้วยชายิ้มๆ “คุณหลิน คุณหนูเมิ่ง พวกคุณคิดว่ายังไงบ้าง”
เมิ่งซินหรานสวมเสื้อกันหนาวสีดำ พับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือท่อนหนึ่ง
“ห้องไหนสำหรับฉันก็ไม่มีปัญหา ผู้อำนวยการติงคะ นี่เป็นประวัติของฉันค่ะ” เมิ่งซินหรานยื่นซองเอกสารให้ผู้อำนวยการติงทันที
ผู้อำนวยการติงรับมาแล้วเปิดดู
ข้างในเป็นประวัติส่วนตัวฉบับสวย ดูเหมือนทักษะภาษาต่างประเทศของเมิ่งซินหรานจะใช้ได้ เคยเข้าร่วมแข่งขันสุนทรพจน์ด้วย วิชาอื่นต่อให้อยู่ห้องหนึ่งก็เรียกได้ว่าโดดเด่น
เป็นม้ามืดที่มีโอกาสชิงอันดับหนึ่งของเมือง
ประวัติแบบนี้หากว่าอยู่ในโรงเรียนอวิ๋นเฉิงอีจงหรือโรงเรียนอื่น ต้องได้รับความสำคัญจากพวกเขามากแน่นอน
แต่ทว่า…
เสียดายที่เมิ่งซินหรานมาอยู่ที่เหิงชวนอีจง
ไม่ต้องพูดถึงพานหมิงเยว่ ม้ามืดผู้น่ากลัวที่มั่นคงอย่างมาก ไม่เป็นที่รู้จัก
คนต่อมาก็คือสวีเหยากวง น่าสะพรึงกลัวทุกวิชา และเคยไปร่วมแข่งขันโอลิมปิกที่ต่างประเทศกับเกาหยางอีกด้วย
สุดท้ายคือฉินหร่าน ม้ามืดตัวฉกาจที่เพิ่งหลุดออกมาจากการสอบกลางภาคครั้งนี้
นอกจากวิชาฟิสิกส์แล้ว แต่ละวิชาน่ากลัวกว่าสวีเหยากวงเสียอีก
ตอนนี้อาจารย์มัธยมปลายปีสามทั้งหมดกำลังคาดเดากันว่าฟิสิกส์ของฉินหร่านเป็นอย่างไร
แม้คะแนนของเมิ่งซินหรานจะดี แต่ตอนนี้กลับสู้พานหมิงเยว่ไม่ได้ ผู้อำนวยการติงเคยเห็นแม้แต่คนที่ทำข้อสอบของโฮ่วเต๋อหลงได้คะแนนเต็มอย่างฉินหร่านมาแล้ว
ฉะนั้นตอนที่เห็นผลการเรียนของเมิ่งซินหราน สีหน้าของเขาก็นิ่งเฉยมากทีเดียว
พลิกดูอย่างขอไปทีแล้ววางไว้อีกมุม “เดี๋ยวไปรับชุดยูนิฟอร์มกับอาจารย์ที่ปรึกษา ไปรายงานตัวที่ห้องเก้าตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ก็วันจันทร์หน้าได้เลย”
สายตาของเมิ่งซินหรานมองตามประวัติของเธอ
เห็นว่าผู้อำนวยการติงดูเหมือนจะไม่แสดงอารมณ์อะไร เมิ่งซินหรานไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้อำนวยการติงไม่ตั้งใจอ่านแฟ้มประวัติของตัวเอง หรือสะกดความตกใจเอาไว้
ยังอยู่ระหว่างคาบเรียน ในโรงเรียนไม่มีใครเดินไปเดินมา
หลินฉีพาเมิ่งซินหรานไปรับยูนิฟอร์มกับหนังสือแล้วถามเธอว่า “จะมาเรียนพรุ่งนี้ หรือค่อยมาวันจันทร์ดีล่ะ”
“วันจันทร์มั้งคะ” เมิ่งซินหรานสวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่แล้วตอบว่า “ไม่อยากถูกพวกนักเรียนตามตอแย”
หลินฉีรู้ว่าเธอเป็นไอดอลของโรงเรียน จึงพูดยิ้มๆ ว่า “บ่งบอกว่าหลานเป็นคนมีชื่อเสียงไม่ใช่หรือไง”
…
ต้นเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิมีความแปรปรวนสูง
ช่วงเช้าตรู่ มีน้ำค้างปกคลุม แต่กลางวันกลับร้อน
ตกกลางคืนสายลมกลับเย็นเยือกขึ้นมากะทันหัน
ตอนที่ฉินหร่านมาห้องพยาบาลหลังเลิกเรียนภาคค่ำ สวมแค่รองเท้าแตะฟองน้ำสุดเท่
ข้างในยังคงเป็นเชิ้ตแขนยาว ข้างนอกเป็นเสื้อกันหนาวของโรงเรียน
เฉิงเจวี้ยนหยิบรองเท้าแตะคู่ใหม่ในห้องให้เธอ มองดูเธอสวมรองเท้าแตะ เขายืนพิงอยู่ข้างประตู เลิกคิ้ว พูดอย่างเดาน้ำเสียงไม่ออกว่า “เท่ดีนี่ท่านหร่าน”
ฉินหร่านสูดจมูกแล้วโบกมือ “พอได้ พอได้”
เฉิงเจวี้ยนไม่แสดงสีหน้าอะไร เขายืนพิงกำแพงอย่างเกียจคร้านอยู่อย่างนั้น “ในตู้เสื้อผ้าของเธอมีแต่ยูนิฟอร์มหรือไง”
หน้าร้อนก็ใส่ยูนิฟอร์ม ฤดูใบไม้ร่วงก็ยูนิฟอร์ม ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ก็ยังเป็นยูนิฟอร์มเหมือนเดิม
“อืม ฉันจนน่ะ” ฉินหร่านหรี่ตาลงเล็กน้อย
เธอไม่ชอบช็อปปิง ในห้างคนเยอะวุ่นวาย
เสื้อผ้าส่วนใหญ่เฉินซูหลานเป็นคนเตรียมให้เธอ
หากต้องซื้อเสื้อผ้าเอง อย่างมากก็เหมือนเหอเฉิน ไปรวบเสื้อผ้าที่แผงข้างถนน ทิ้งเงินไว้แล้วจากไป
ตอนกลับหอตอนพักเที่ยง แดดแรงมาก เธอเลยเปลี่ยนรองเท้า
ใครจะไปรู้ว่าตกกลางคืนลมจะพัดหวีดหวิว
เหตุผลนี้ใช้ได้
เฉิงเจวี้ยนพอใจมาก
แต่เขาอยากรู้ว่าทำไมครั้งก่อนที่หน้าโรงเรียน เธอถึงให้เสื้อผ้าแบรนด์ L กับน้องชายของเธอทั้งถุงแบบนั้น
เขาไม่พูดอะไร แค่หันหลังเดินไปหยิบผ้าห่มบนโซฟาขึ้นมา โยนใส่ฉินหร่าน
จากนั้นก็ก้มหน้าแล้วครุ่นคิด หยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความฉบับหนึ่งออกไป
ไม่นานก็มีข้อความตอบกลับมา
เฉิงเจวี้ยนอ่านจบ ก็หันมองฉินหร่านอย่างเชื่องช้า หลังจ้องอยู่พักหนึ่ง ก็ก้มหน้าตอบข้อความอีก
ลู่จ้าวอิ่งกำลังจัดแฟ้มประวัติการรักษา พอได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เขาก็หันมองนิดหน่อย
สิ่งที่เห็นก็คือรองเท้าแตะเป็นรูพรุนที่ฉินหร่านถอดทิ้งแล้ว
“เท่ เท่จริงๆ” ลู่จ้าวอิ่งโยนแฟ้มประวัติการรักษาลงบนโต๊ะ
เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวกลับมาหลังจากวิ่งวุ่นทั้งวัน
ก็ได้ยินคนปากไม่มีหูรูดอย่างลู่จ้าวอิ่งวิจารณ์รองเท้าแตะรูพรุนของฉินหร่านเหมือนกัน รองเท้าแตะคู่นั้นมีอายุไม่รู้กี่ปีแล้ว ให้ความรู้สึกว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนาน
ทั้งสองย่อตัวลงชื่นชมอยู่พักหนึ่ง กำลังคิดว่าฉินหร่านยากจนขนาดไหนกันแน่
ฉินหร่านคลุมตัวด้วยผ้าห่มที่มีเฉิงเจวี้ยนเป็นเจ้าของ นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือโน้ตบุ๊กพิมพ์ด้วยมือข้างเดียว
นิ่งไม่ไหวติง
เฉิงมู่จัดอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว
“คุณชายลู่ ตอนที่ออกไปเมื่อเช้านี้ เหมือนผมจะเห็นเมิ่งซินหราน” เฉิงมู่เคยใช้เส้นสายช่วยลู่จ้าวอิ่งหาบัตร OST จึงพอจะคุ้นเคยกับภายในอยู่บ้าง “เหมือนเธอจะมาที่เหิงชวน”
ลู่จ้าวอิ่งกำลังกินข้าวอย่างสบายใจ พอได้ยินประโยคนี้ก็ชะงัก จากนั้นเงยหน้าด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ นายเห็นเธอเหรอ”
เฉิงเจวี้ยนไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยังคงกินข้าวอย่างไม่รีบร้อน
ฉินหร่านค้นหาชื่อ ‘เมิ่งซินหราน’ ออกมาจากสมอง นักเรียนใหม่ของห้องเก้า เธอเชยตาขึ้นมอง ถามอย่างไม่ยี่หระว่า “เมิ่งซินหราน?”
ลู่จ้าวอิ่งรีบอธิบายให้ฉินหร่านฟังทันที “เธอไม่รู้จักเมิ่งซินหรานเหรอ! ผู้หญิงที่เล่นเกมท่องยุทธภพ คนเดียวที่ฉันยอมศิโรราบ เป็นเกมเมอร์มืออาชีพ เป็นสมาชิกลำดับสองของ OST มี APM สูงมากแทบจะไล่ตามเทพพระอาทิตย์ทันแล้ว เก่งมาก เทพเหนือเทพ สถิติ APM อันดับสามของทีม OST!”