หัวหน้าโจวใช้มือยันที่พนักเก้าอี้ไม้ทรงสูงพลางขมวดคิ้ว
ไม่มีหัวหน้าหน่วยในทีมจัดซื้อคนไหนพูดอะไร เป็นที่แน่นอนว่าซือลี่หมิงสร้างปัญหาให้พวกเขาไม่น้อย
“คุณเฉิงสุ่ยก็เห็นด้วยหรอ?” หัวหน้าโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองซือลี่หมิง
ซือลี่หมิงแค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“เข้าใจแล้ว” หัวหน้าโจวนวดขมับ “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
ตอนนี้ซือลี่หมิงเป็นผู้ติดตามฉินหร่าน เมื่อสารถูกถ่ายทอดออกไปแล้ว เขาก็หันหลังเดินออกจากประตู
หัวหน้าโจวเลิกคิ้วอีกครั้ง “นายจะไปไหน?”
“อ๊ะ” พอซือลี่หมิงรู้ตัวก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉิงมู่บอกว่าดอกไม้ของคุณฉินอาจจะทนกับสภาพอากาศที่นี่ไม่ได้ ผมก็เลยจะไปหาคนสวนของคฤหาสน์มาขุดดินให้หน่อย”
พอพูดเสร็จ เขาก็รีบเดินออกไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
ทุกคนในหน่วยจัดซื้อต่างก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าทีมหน่วยจัดซื้อแต่ละคนก็พากันส่ายหน้า “ซือลี่หมิงเป็นคนเก่งคนนึง น่าเสียดายจริงๆ”
เรื่องนี้ แม้แต่หัวหน้าตู้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครรู้ว่าการที่ซือลี่หมิงรีบไปประจบคนอื่นทุกวันโดยไม่ทำงานทำการแบบนี้…ความสามารถของเขาจะพัฒนาไปได้อย่างไร?
เฉิงสุ่ยเป็นคนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดี เวลาสั่งงานลูกน้อง เขาจะยึดความสามารถเป็นหลัก แม้จะเป็นพรรคพวกเดียวกัน
ไม่เห็นเหรอว่าเฉิงมู่เองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับงานสำคัญงานไหนเลย?
หัวหน้าโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร
ซือลี่หมิงเป็นคนเก่ง หัวหน้าโจวฝึกฝนเขาในฐานะคนสนิทมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
หัวหน้าโจวเคาะนิ้วบนพนักเก้าอี้พลางคิดว่าเขาควรจะเปลี่ยนไปฝึกฝนคนสนิทคนอื่นดีหรือไม่
เพราะเห็นทีว่าซือลี่หมิงคงไม่ผ่าน
**
อีกด้านหนึ่ง ในคืนนั้นซือลี่หมิงเดินไปที่พักของคนรับใช้หลังหอคอยเพื่อหาคนสวน หลังจากสอบถามได้สักพัก เขาก็ถือพลั่วพร้อมกับเดินตามคนสวนไปขุดดินที่ห้องเพาะเลี้ยงดอกไม้มาได้บางส่วน
ตอนที่เขาไปถึงห้องสมุด ฉินหร่านยังคงนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์อยู่ข้างๆ สายหูฟังสีดำห้อยลงมาตามผมของเธอ
เธอมีทำนองเพลงหลักของเหยียนซีแล้วตั้งแต่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีเวลาเขียนมันเลย
เธอเขียนเต็มหน้ากระดาษพลางขมวดคิ้ว ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งลงข้างเท้า จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาอีกแผ่น
หน้านิ่วคิ้วขมวดแลดูหงุดหงิดและเย็นชามีความตึงเครียดอยู่รอบตัว
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ผ่านไปได้สักครู่ใหญ่ๆ เธอก็เขียนเสร็จไปหนึ่งหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากดูตั้งแต่ต้นจนจบ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถ่ายรูปส่งให้เหยียนซีไปก่อนหนึ่งแผ่น
แล้วถึงจะหยิบปากกาขึ้นมาค่อยๆ เริ่มลงรายละเอียดอย่างเชื่องช้า
เฉิงมู่ยกน้ำชามาเสิร์ฟให้เธอหลังจากเห็นเธอดูผ่อนคลายลง ไม่ว่าวันนี้เขาจะทำอะไร เขาก็ยังมีอารมณ์คงที่ พอเสิร์ฟชาให้ฉินหร่านเสร็จก็กลับมานั่งครุ่นคิดปัญหาชีวิต
บรรยากาศทางฝั่งพวกเขาน่าอึดอัด แตกต่างกับฝั่งเฉิงเจวี้ยน“เฉิงมู่” ซือลี่หมิงยื่นดินห่อหนึ่งให้เฉิงมู่พลางมองไปทางฉินหร่านแล้วกระซิบถาม “คุณฉินกำลังทำอะไรน่ะ?”
ฉินหร่านกำลังเขียนเพลง ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเศษกระดาษยับยู่ยี่
ทุกๆ ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนกระดาษแผ่นหนึ่ง
ในนั้นมีโน้ตเพลงอยู่เป็นกอง โน้ตเพลงรู้จักซือลี่หมิง แต่ซือลี่หมิงไม่รู้จักมัน เขาอ่านออกแค่เพียงไม่กี่ตัว
พอเฉิงมู่ได้ยินก็เงยหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น่าจะเขียนอะไรบางอย่างมั้ง? คุณฉินเล่นไวโอลินเป็นน่ะ”
“อ๋อ” ซือลี่หมิงพยักหน้า “คุณฉินถนัดซ้ายเหรอ? ฉันเห็นเธอใช้มือซ้ายเขียนหนังสือ…”
ซือลี่หมิงคุมสงบเยือกเย็น การอยู่กับเฉิงมู่ที่นี่ทำให้เขาได้คำตอบมาไม่น้อย
ห้องหนังสือค่อนข้างใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ล้วนผ่านการฝึกฝนมา แม้ซือลี่หมิงจะคุยกับเฉิงมู่เบาๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังก็ยังได้ยินอยู่ดี
เฉิงสุ่ยถอนหายใจขณะที่ได้ยินทั้งสองคุยกัน
หลังจากหัวหน้าตู้รายงานเรื่องแมทธิวเสร็จก็หันมามองเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณเฉิงหั่วกลับมาหรือยังครับ?”
หัวหน้าหลายคนต่างรู้ดีว่าเฉิงหั่วเป็นนักแฮกเกอร์
นอกจากนี้ในคฤหาสน์ยังมีข่าวลือว่าเฉิงหั่วเข้าร่วมสมาคมแฮกเกอร์แล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเฉิงหั่ว
บ่อยครั้งเฉิงหั่วจะหายตัวไปในช่วงที่ไม่มีธุระอะไร หากต้องการพบเขาก็ทำได้แค่ตามตัวเขาผ่านเฉิงสุ่ยเท่านั้น
ช่วงนี้ทางด้านแมทธิวมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ยังมีอีกหลายข่าวที่หัวหน้าตู้เองก็ไม่รู้ จึงทำได้แค่แจ้งให้เฉิงหั่วไปสืบ
“เขาไม่อยู่ในรัฐM อีกสองสามวันถึงจะกลับมา” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือเปิดดูโทรศัพท์ เขาคำนวณเวลาแล้วให้คำตอบที่แน่นอนกับหัวหน้าตู้
หัวหน้าตู้พยักหน้า “ช่วงนี้ผมเองก็เพิ่งได้ข่าวแฮกเกอร์ทางฝั่งแมทธิวมา ไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องภายในคฤหาสน์ของพวกเรามากน้อยแค่ไหน”
“แฮกเกอร์คนนั้น” เฉิงสุ่ยชักสายตากลับ เขานั่งบนเก้าอี้ ทำท่าฉงนสนเท่ห์ “พวกนายสืบได้ไหมว่าเป็นใคร?”
“ไม่พบข้อมูลอะไรเลยครับ” หัวหน้าตู้ส่ายหน้าและหันไปถามเฉิงเจวี้ยน “นายท่าน คุณรู้จักแมทธิวนี่ไหม?”
เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ พิงพนักเก้าอี้ มือยังคงถือถ้วยชาพร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย “แค่ปะทะกันครั้งนึง เขาเป็นคนรอบคอบ”
เฉิงมู่ที่กำลังคุยกับซือลี่หมิงอยู่อีกด้านเพิ่งหลุดจากความงงงวยกลับมาได้สติหลังจากได้ยินชื่อแมทธิว
เขาถึงกับผงะโดยไม่รู้ตัว
“มีอะไรเหรอ เฉิงมู่?” ซือลี่หมิงตบไหล่เขาพลางกระซิบถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า” เฉิงมู่ส่ายหน้า
เขาแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างแมทธิวสนิทกับกู้ซีฉือมาก และฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยน กับกู้ซีฉือเองก็สนิทกันด้วย…
ซือลี่หมิงยิ้ม “งั้นเรามาคุยเรื่องการเดินทางของวันพรุ่งนี้กันต่อ การเดินทางอาจจะใช้เวลาสองวันครึ่ง ระหว่างทางเราไม่ผ่านโรงแรม พรุ่งนี้เราไปเอาของที่หน่วยจัดซื้อมาให้คุณฉินพกไปเยอะๆ หน่อยดีกว่า เธออาจจะไม่คุ้น…”
**
เวลาห้าทุ่มครึ่ง ไฟในคฤหาสน์ยังไม่ดับ
เฉิงเจวี้ยนเห็นว่าฉินหร่านเหมือนจะเสร็จงานแล้ว จึงให้หัวหน้าตู้และคนอื่นออกไปก่อน
ฉินหร่านนอนตั้งแต่ตอนบ่ายยาวถึงตอนนี้จนไม่ง่วงแล้ว เฉิงเจวี้ยนหยุดคิดชั่วครู่ก็พาเธอลงไปเดินเล่นที่คฤหาสน์
คฤหาสน์มีพื้นที่กว้างมาก ทุกสถานที่เชื่อมต่อกันด้วยถนนคอนกรีตโดยมีทางเดินเท้าที่ปูด้วยหินกรวดอยู่ตรงกลาง
ตอนนี้พวกฉินหร่านพักอยู่ที่ปราสาทแถวที่สอง
แถวหน้าสุดเป็นหอคอย หน้าต่างแคบเล็กน้อย มีประตูใหญ่เป็นบานโค้งลวดลายปะติดปะต่อกัน นั่นน่าจะเป็นสถานที่พวกหอประชุมที่มีคนเข้าๆ ออกๆ จำนวนมาก
สองข้างทางมีสวนผลไม้ขนาดใหญ่และยังมีสนามฝึกซ้อมอีกด้วย สนามฝึกซ้อมไม่ได้มีแค่แห่งเดียว บางแห่งยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และบางแห่งสร้างเอาไว้อยู่ใต้หอคอย
ฉินหร่านไม่ได้สนใจอาคารสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปเหล่านั้น
เธอแวะที่สนามฝึกซ้อม สนามฝึกซ้อมทั้งหมดเป็นเหมือนสนามประลองที่มีเสาไม้อยู่บริเวณรอบๆ โดยที่พื้นทรุดตัวลงไป
หากนั่งมองการฝึกฝนจากด้านบนมันให้ความรู้สึกเหมือนมองจากที่สูงแม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ก็ยังเห็นเงาคนหลายสิบคนอยู่ภายใต้แสงไฟในสนามฝึกซ้อม
บางคนกำลังซ้อมยิงปืน บางคนตีโปโล และบางคนกำลังซ้อมมวย…มีหลากหลายประเภท
ฉินหร่านมองดูด้วยความสนใจ พอเห็นร่างคนคนหนึ่งที่อยู่ขอบสนามก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ยื่นมือไปสะกิดเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างๆ “นั่นเฉิงมู่ใช่ไหม?”
ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่รูปร่างกำยำนั้น
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองด้วยความสนใจเล็กน้อย เอนตัวพิงอยู่ข้างเสาไม้ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “จิตใจถูกกระทบกระเทือน คงกำลังฝึกหนัก”
หลายปีที่ผ่านมา เฉิงมู่คิดมาเสมอว่าตัวเองเป็นคนสนิทของเฉิงเจวี้ยน
คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะส่งผลต่อเขาอย่างหนักหน่วง เขาไม่เพียงแต่เทียบกับพวกเพื่อนๆ ไม่ได้ แม้กระทั่งพวกลูกน้อง เขาก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นแรงจูงใจ
ฉินหร่านพยักหน้าโดยไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เธอลูบคางแล้วส่ายหน้า พูดอย่างไม่แยแสว่า “ท่าไม่ถูก ช่วงล่างไม่มั่นคง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจวี้ยนจึงเหลือบมองเธอด้วยความสนใจ จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับภายใต้แสงไฟ
เขาจำได้ว่าเขากับลู่จ้าวอิ่งเคยเห็นเธอมีเรื่องชกต่อยเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมอีจงที่เหิงชวนเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว
ฉินหร่านเหลือบมองเขาและเลิกคิ้วถามว่าเขาหัวเราะทำไม
“เปล่า” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือแตะริมฝีปากพลางเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้เฉิงสุ่ยบอกฉันว่าพรุ่งนี้เธอจะออกไปกับหน่วยจัดซื้อเหรอ?”
ฉินหร่านกลับไปดูพวกเขาซ้อมกันต่อ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “อือ”
“ฉันจะให้คนเตรียมของที่จำเป็นไปด้วย พรุ่งนี้ฉันคงไปกับเธอด้วยไม่ได้ เพราะจะต้องไปเจรจาธุรกิจกับตระกูลมาส ให้เฉิงมู่กับซือลี่หมิงไปเป็นเพื่อนเธอแล้วกัน” เฉิงเจวี้ยนสวมฮู้ดหลังเสื้อกันหนาวให้เธอ
ฉินหร่านผงะ จากนั้นก็พยักหน้า
**
หัวหน้าตู้พักอยู่แถวหลังสุด ทางซ้ายมือของปราสาทโบราณเฉิงเจวี้ยน ที่นั่นคือฝ่ายยุติธรรม
หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ-คฤหาสน์ ก็กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เขาทำการสืบค้นข้อมูลบนคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้คิดจะพักผ่อน
มีคนเคาะประตูจากด้านนอก
เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่เอ่ยไปตรงๆ “เข้ามา”
คนที่เคาะประตูคือหัวหน้าโจว เขาสวมเสื้อคลุมด้านนอกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำจัดความกลัดกลุ้มใจไม่ได้
“มีอะไร?” หัวหน้าหลายฝ่ายสนิทสนมกันมา หัวหน้าตู้วางเมาส์พร้อมกับยืนขึ้น โดยให้สัญญาณหัวหน้าโจวไปนั่งที่โต๊ะรับแขก “มาหาผมดึกขนาดนี้มีอะไร?”
“ผมต้องการกำลังคนทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรม” หัวหน้าโจวพูดไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ทุกคนทราบกันดีว่าคนของฝ่ายยุติธรรมมีกำลังคนสูงที่สุดในคฤหาสน์แห่งนี้ หัวหน้าทีมฝ่ายยุติธรรมทุกคนล้วนเคยเห็นเลือดและได้ผ่านเวทีการต่อสู้มวยเดนตายมาแล้วทั้งนั้น
หัวหน้าตู้รินกาแฟให้เขา “ว่ามาสิ”
ฝ่ายจัดซื้อกับฝ่ายยุติธรรมไม่ทำงานร่วมกัน ฝ่ายจัดซื้อด้อยการต่อสู้ที่สุด แต่กลับมั่งคั่งที่สุด แผนชั่วเยอะ สู้ไม่ไหวก็ลั่นปืน แต่ตอนนี้หัวหน้าโจวมายืมกำลังคนเขา นั่นจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
หัวหน้าโจวไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องฉินหร่านมาหมดเปลือก “ผมถามคุณเฉิงเจวี้ยนมาแล้ว ถ้าคุณหนูฉินเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ พวกเราจะโดนย้ายกันหมด”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หัวหน้าโจวเป็นคนเตือน หัวหน้าตู้เองก็เพิ่งได้รู้มาจากห้องหนังสือเมื่อกี้นี้แล้ว
เขากระแทกแก้วลงบนโต๊ะ “ปัง” พลางขมวดคิ้ว “พวกคุณไปมอบสินค้า ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย? ไร้สาระจริงๆ”
ตอนนี้เป็นเวลาที่กองกำลังหลายฝ่ายกำลังปะทะกันและอยู่ในช่วงขาดแคลนกำลังคน ซึ่งหัวหน้าตู้เองก็กำลังเตรียมตัวประเมินรับคนใหม่ในเดือนหน้า
เวลานี้ยังจะมีคนมาหาเรื่องเอากำลังคนไปใช้อีก
ทั้งสองสบตากันด้วยสายตาที่ซับซ้อน
โดยทั่วไปแล้วคนที่ติดตามเฉิงเจวี้ยนทำงานอยู่เบื้องหลังจะพิจารณาจากความสามารถ เกณฑ์ประเมินในแต่ละปีก็จะพิจารณาจากส่วนนี้ด้วย เฉิงเจวี้ยนเป็นบอสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนหน้านี้ ทุกคนในคฤหาสน์ล้วนคิดว่าเฉิงเจวี้ยนแทบจะหาที่ติไม่ได้
จนกระทั่งวันนี้…
“พวกเรากำลังตรวจสอบฝ่ายยุติธรรมอยู่ กำลังคนมีไม่มาก พรุ่งนี้ผมจะส่งคนจากทีมหนึ่งของฝ่ายยุติธรรมให้คุณไปจำนวนหนึ่ง” สุดท้ายหัวหน้าตู้ก็ยังต้องมอบทีมที่เก่งที่สุดให้หัวหน้าโจว
หัวหน้าโจวถึงกับอึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าหัวหน้าตู้จะว่าง่ายแบบนี้ แบ่งคนให้เขาจริงๆ งั้นเหรอ
เดิมทีเขายังคิดว่าหัวหน้าตู้จะไปหาเฉิงเจวี้ยนโดยตรงเพื่อไม่ใช้ฉินหร่านเข้ามาข้องเกี่ยว
เขาดื่มกาแฟไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามอีกประโยคโดยไม่ได้รีบร้อนไปไหน “คุณฉินคนนั้นน่ะ…ดูเหมือนวันนี้บอสจะไม่ได้แนะนำให้พวกเรารู้จัก?”
ทันทีที่หัวหน้าตู้ได้ยินดังนั้นก็รู้ดีว่าหัวหน้าโจวกำลังคิดอะไรอยู่ แค่เหลือบมองเขาก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง “ไม่แนะนำก็ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ”
**
เฉิงมู่ฝึกซ้อมจนถึงเที่ยงคืนกว่าจะกลับจากโรงฝึก ตอนที่เขาหยุด ยังมีคนอีกสิบกว่าคนที่ยังอยู่ในสนามฝึกซ้อมกันอยู่
บางคนก็หยุดแล้วชี้มาทางเขาและหัวเราะอยู่บ่อยๆ
“คุณชายเจวี้ยน?” พอเดินออกมาข้างนอกก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาชะงัก
“อืม” เฉิงเจวี้ยนให้ฉินหร่านกลับไปนอนก่อนแล้ว เขาถือบุหรี่ไว้ในมือด้วยความเคยชิน เลิกคิ้วอย่างเฉยชา “พรุ่งนี้ติดตามคุณหนูฉินให้ดีละ มีอะไรก็ติดต่อฉันได้ทันที”
เขากำชับหนึ่งประโยค
เฉิงมู่กลับหยุด เขาเม้มปากและคิดอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าด้วยความอับอาย “คุณชายเจวี้ยน คุณเปลี่ยนคนคุ้มครองคุณฉินเถอะ! ผมไม่เก่งพอ!”
คนที่อ่อนแอที่สุดของฝ่ายยุติธรรมยังต่อยเขาจนทรุด…
เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขายื่นมือจัดเสื้อคลุมแล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “นายดูจากตรงไหนถึงคิดว่าฉันให้นายไปคุ้มครองคุณฉิน?”
เฉิงมู่ชะงัก
เฉิงเจวี้ยนชักสายตากลับ พูดช้าๆ ชัดๆ ด้วยความเมตตา “ฉันให้นายดูแลดอกไม้เธอและช่วยจัดการปัญหายุ่งยาก”
เฉิงมู่ “…”
**
เช้าวันรุ่งขึ้น
เฉิงเจวี้ยนออกไปตั้งแต่หกโมงเช้า
ตอนเขาไป ฉินหร่านยังไม่ตื่น เขาเองก็ไม่ได้ปลุกเธอด้วย
จนกระทั่งฉินหร่านตื่นก็เป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว
ตอนที่เธออาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วออกไปข้างนอก เฉิงมู่ก็ได้ห่อกระถางดอกไม้ไว้แล้ว ส่วนในมือซือลี่หมิงกำลังถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง “คุณหนูฉิน พวกเราออกเดินทางกันได้แล้วครับ”
ข้างประตูใหญ่ของคฤหาสน์มีขบวนรถจอดรออยู่แล้ว
มีคนกว่าสิบคนยืนอยู่สองข้างทางโดยมีหัวหน้าโจวยืนออกคำสั่งด้วยคำพูดเฉียบขาดอยู่ตรงกลาง
เมื่อเห็นพวกฉินหร่านมากันแล้ว เสียงของเขาก็หยุดชะงัก
“คุณหนูฉิน” เขาทักทายฉินหร่านอย่างมีมารยาท “รถพวกคุณอยู่ตรงกลางระหว่างรถสองคันนั้น”
เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าโจวเห็นฉินหร่าน เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์ของเธอ ในใจก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
ฉินหร่านกำลังเปิดดูข้อความที่เหยียนซีส่งมาให้ เธอตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “อือ” จากนั้นก็เข้าไปนั่งบนรถคันตรงกลางด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
ซือลี่หมิงเป็นคนขับ เฉิงมู่นั่งข้างคนขับ
หลังจากขึ้นรถไปแล้ว คนที่ยืนอยู่สองข้างทางก็มองหัวหน้าโจวด้วยความประหลาดใจ “นั่นน่ะเหรอคุณฉิน? คนที่จะไปกับพวกเรา?”
นอกจากหัวหน้าทีมไม่กี่คน คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องที่ฉินหร่านจะไปรับสินค้าด้วย
หัวหน้าโจวพยักหน้าพลางพูดด้วยความลำบากใจ “คุณเฉิงสุ่ยบอกว่าเธอจะไปเที่ยว…”
คนของหน่วยจัดซื้อต่างก็เงียบไปพักหนึ่ง เธอบ้าไปแล้วหรือไง.