ตอนที่ 219 เข้างาน
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของซย่าเสี่ยวมั่วดังขัดจังหวะคำพูดของหลี่หมิงฉวีเสียก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากสวีรั่วชี ซย่าเสี่ยวมั่วก็รีบกดรับทันที “เสี่ยวชี”
“เธอไม่ต้องมาแล้ว ฉันถึงโรงแรมแล้ว เธอมาหาฉันที่โรงแรมเลย เดี๋ยวฉันให้คนเอาบัตรเชิญไปให้”
“ได้”
กดวางสาย ซย่าเสี่ยวมั่วยอมรับข้อเสนอของหลี่หมิงฉวี ก่อนจะเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ขอบคุณนะ”
“ฉันดีใจมากจริงๆ” จู่ๆ หลี่หมิงฉวีก็พูดขึ้นมา แล้วขับรถเข้าไปในร้านสำหรับแต่งตัวแต่งหน้าทำผม
ซย่าเสี่ยวมั่วมองในตำแหน่งที่คุ้นเคยก่อนจะเลือกชุดพิธีตัวยาวสีแดงเพลิงออกมาตัวหนึ่ง ชุดพิธีเข้ารูปโชว์ไหล่ ทำให้ส่วนโค้งเว้าของซย่าเสี่ยวมั่วงดงาม แถมยังดูสูงเพรียวอีกด้วย
เมื่อพบทางออกของปัญหา เธอก็ไม่รีบร้อนแล้ว ปล่อยให้สไตล์ลิสต์ทำผมให้เธอไป
ผมที่ยาวถึงเอวในตอนแรกถูกรวบขึ้นไปม้วนไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งปล่อยให้ยาวถึงเอว ปลายผมดัดเป็นลอนใหญ่แล้วย้อมเป็นสีน้ำตาล เผยให้เห็นทั้งใบหน้าอย่างชัดเจน ไม่ได้ตัดผมหน้าม้าและปล่อยไรผม บนใบหน้าแต่งสีจัดจ้านและประณีตอย่างที่เห็นได้ยาก
เมื่อแต่งตัวทำผมเสร็จแล้วซย่าเสี่ยวมั่วก็ใส่รองเท้าส้นสูงสิบเซนฯวิ่งซอยเท้าออกจากร้าน
ส่วนหลี่หมิงฉวีก็คอยระวังหลังให้เธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วล่ะเกลียดจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่เลือกกระโปรงรัดรูปขนาดนี้หรอก แม้แต่ก้าวขายังก้าวไม่ได้เลย พอเดินเร็วเข้าหน่อยสองขาก็เสียดสีกันแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงนึกไปถึงเนื้อเพลงนั่นได้ ที่ร้องว่า ‘เสียดสีๆ เป็นจังหวะการก้าวเท้าของปีศาจ…’
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วมาถึงที่หมายแล้วก็ได้รับบัตรเชิญ แต่เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่หมิงฉวีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ จึงต้องฝืนเป็นคู่ควงให้เขาอย่างไม่เต็มใจ
อย่างไรเสียก็ติดหนี้บุญคุณไม่ได้ ตอบแทนให้หมดไปจะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก
เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้ามาในงาน ก็เป็นที่จับตามองของผู้คนทันที แม้แต่เสียงอึกทึกครึกโครมก่อนหน้านี้ก็เบาลงไป
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่มีเวลาไปสนใจเท่าไร กวาดสายตาหาร่างของสวีรั่วชีในงาน
“ฉันจะไปหาสวีรั่วชี ถ้ามีกิจกรรมอะไรฉันค่อยมาหานายแล้วกัน” เธอรีบปลีกตัวออกไปโทรหา
สวีรั่วชีทันที
เหยียนเค่อเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ควงหลี่หมิงฉวีเดินเข้ามาตั้งแต่ทีแรกแล้ว แล้วสองคนนั้นก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าวิ่งหายไปไหนแล้ว
ฉินซื่อหลานเห็นว่าเขาสีหน้าเคร่งขรึม จึงกระทุ้งศอกใส่เขาแล้วถามขึ้น “เป็นอะไรไป”
เหยียนเค่อส่ายหัว “ทางสวีรั่วชีเป็นยังไงบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็แค่ลืมหาผู้หญิงมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวช่วยดื่มเหล้าน่ะสิ”
ฉินซื่อหลานรู้ว่างานคงไม่ดำเนินไปถึงช่วงชนเหล้าหรอก เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น
“บอกเขาว่าห้ามเอาตัวซย่าเสี่ยวมั่วไป ถ้าช่วยดื่มเหล้าล่ะก็เดี๋ยวฉันช่วยเขาเอง”
ฉินซื่อหลานรู้สึกว่าวันนี้เหยียนเค่อดูแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากนัก นำเรื่องนี้ไปรายงานสวีรั่วชี
สวีรั่วชีได้ยินแล้วก็แสยะยิ้ม “ไปบอกเขาว่า ถ้าเขายอมใส่ชุดเพื่อนเจ้าสาว ก็มาช่วยฉันดื่มเหล้าได้”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความคออ่อนของซย่าเสี่ยวมั่วสักหน่อย จะให้เธอมาช่วยดื่มเหล้าได้อย่างไรล่ะ
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินไปตามทางที่สวีรั่วชีบอกตั้งนานกว่าจะหาเจอ เห็นสวีรั่วชีนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง จึงพุ่งเข้าไปผลักเธอล้มลง
“โอ้โห” สวีรั่วชีเห็นเธอแต่งองค์ทรงเครื่องซะสวยก็เอ่ยหยอกล้อ “เธอมาหมั้นเองใช่ไหมเนี่ย”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก!” ซย่าเสี่ยวมั่วตีหลังเธอ “ทำไมเธอถึงหมั้นซะแล้วล่ะ! ผู้ชายคนนั้นคือใคร”
“ฉันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน” สวีรั่วชีตอบอย่างไม่จริงจัง
“นี่เธอ!” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนพูดไม่ออก “เธอชอบพี่ชายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยอมแต่งงานกับคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ล่ะ!”
สวีรั่วชีส่ายหัว “ก็เขาไม่ชอบฉันนี่”
“เธอยังไม่ทันได้สารภาพรักก็แต่งงานออกไปซะแล้ว เธอบ้าหรือเปล่าเนี่ย” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนความดันขึ้น ยายเด็กนี่เชื่อถือไม่ได้ยิ่งกว่าตัวเธอเองอีกนะเนี่ย “เธอหาเรื่องหรือไง ต้องแต่งงานออกไปใช่ไหมเธอถึงจะพอใจ”
สวีรั่วชีสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เดิมทีเธอรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรให้ต้องเสียใจเลย แต่พอได้ยิน
ซย่าเสี่ยวมั่วพูดแบบนี้แล้วก็น้ำตาร่วง ทำเอาซะซย่าเสี่ยวมั่วตกอกตกใจหมด
ตอนที่ 220 อวยพร
“ฉันก็ไม่อยาก ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนอื่นเลยสักนิด ฉันชอบเขามาตั้งหลายปี ตั้งแต่ยังไม่เป็นพี่น้องกันจนถึงตอนนี้ แต่สายตาของเขาไม่เคยมองมาที่ฉันเลย เขาบอกว่าเขามีคนที่อยากใช้ชีวิตด้วยแล้ว แต่คนนั้นไม่ใช่ฉัน เขาไม่สนใจฉันเลย”
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอก็รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวเกือบหนึ่งเดือนประดังประเดมาในหัวอีกครั้ง สวีรั่วชีร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับสัตว์ตัวน้อยผู้น่าสงสาร “ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ไม่ว่าฉันจะอยู่ห่างจากเขามากแค่ไหน แต่หัวใจของฉันก็มีแต่เขา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไงดี”
ซย่าเสี่ยวมั่วคลายหมัดที่เธอกำเอาไว้แน่นให้ออก ก่อนจะปลอบประโลม “เธอยังมีฉันนะ จริงๆ นะ เราไม่หมั้นแล้วโอเคไหม ไม่หมั้นแล้ว”
สวีรั่วชีสะอื้นไห้ท่าทางราวกับจะร้องออกมาจนน้ำตาเหือดแห้ง แต่ก็ค่อยๆ หยุดลงเมื่อใกล้ถึงเวลาเปิดงาน เหลือเพียงแต่สะอึกเบาๆ เท่านั้น
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันต้องไปแต่งหน้าสักหน่อย เธอไปรอข้างนอกก่อนแล้วกัน” ส่งเสียงสะอึกจนน่าสงสาร
“เธอไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ใช่ไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นห่วง จับมือเธอไว้แน่นไม่ปล่อย
สวีรั่วชีที่กลับสู่สภาวะปกติหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีเพื่อให้จิตใจตัวเองสงบลงก่อนจะพยักหน้า “จริงๆ เดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว” แถมยังยิ้มให้ซย่าเสี่ยวมั่วอีก “ฉันคือสวีรั่วชีนะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้ก็ยังคงไม่วางใจ เมื่อเรียกช่างแต่งหน้ามาแล้วจึงจะกล้าถอยออกไป ก็แค่กลัวว่าเธอจะคิดไม่ตกแล้วทำเรื่องบ้าๆ อะไรลงไปน่ะสิ
พิธีกรข้างหน้าเริ่มพูดเปิดงานแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วเดินหลบแสงไฟไปยังบริเวณข้างเวที กอดอกขบคิด กำลังคิดว่าจะทำลายงานหมั้นของสวีรั่วชียังไงดี
การจัดแต่งของที่นี่เป็นแบบบริการตนเอง ไม่ได้แยกเป็นกลุ่มของเด็กวัยรุ่นกับกลุ่มญาติผู้ใหญ่
ไม่รู้ว่าพิธีกรพูดอะไร แต่ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยเสียงกู่ร้อง จากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่งขึ้นมาโชว์อุ่นเครื่อง
ยังเหลือเวลาอีกห้านาทีกว่าๆ เธอคิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังคิดไม่ออก เธอจะให้สวีรั่วชีตะโกนบนเวทีว่า ‘ฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณ’ ก็ไม่ได้อีก ต่อให้เธออยาก แต่สวีรั่วชีก็คงไม่ทำแบบนั้นแน่นอน ผู้หญิงปากอย่างใจอย่างแบบเธอน่ะ
ขณะที่ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังขบคิดอยู่นั้น ก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบแล้วพาขึ้นไปบนเวที
“คุณเป็นใครน่ะ” ขณะที่เธอกำลังจะดิ้นให้หลุดอยู่นั้นก็ได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นไม้อ่อนๆ ลอยมาจากชายคนนั้น
“ฉันเอง” เป็นเสียงของคนที่คาดไว้ดังมาจากด้านบนศีรษะ เธอทำได้เพียงเดินข้างเขาแต่โดยดี ยังไม่ทันได้ถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ
หลังจากสองกิจกรรมอุ่นเครื่องผ่านไปแล้วนั้น เก้านาฬิกาเก้านาที ฤกษ์งามยามดีในตำนานก็มาถึง
ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกเหยียนเค่อประคองให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้บาร์ มองเขาปากอ้าตาค้าง
บนใบหน้าหล่อเหลาของเหยียนเค่อนานๆ ทีจะไร้ซึ่งความรู้สึก นั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ข้างๆ เธอ ขาข้างหนึ่งเหยียบที่วางเท้าด้านล่าง ขาอีกข้างแตะลงบนพื้น
เสียงของพิธีกรดังมาจากด้านหลัง “ตามคำขอของคุณสวีรั่วชี เธออยากนำเวลาที่สำคัญและงดงามที่สุดในพิธีเปิดให้กับเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินคำอวยพรต่อชีวิตในอนาคตจากคุณซย่าเสี่ยวมั่ว และหวังว่าคุณซย่าเสี่ยวมั่วจะมีความสุขตลอดไป”
ซย่าเสี่ยวมั่วตีเข้าที่เข่าที่นั่งงออยู่ของเหยียนเค่อ เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันไม่อยากอวยพรให้เขา!”
เหยียนเค่อมองยายโง่นี่หนึ่งที โชคดีที่ไม่ได้เปิดไมค์ ถ้าคนทั้งงานได้ยินแผนล่มหมดแน่
“เธอก็อวยพรไปเถอะน่า อย่าก่อเรื่อง”
สวีอิ๋งอิ๋งมองคู่หนุ่มสาวที่นั่งอยู่บนเวทีแล้วกำหมัดแน่น เล็บยาวจิกลงบนฝ่ามือจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
เหยียนเฟิงนั่งปลอบประโลมเธออยู่ข้างๆ ก่อนจะถามหยั่งเชิงเสียงเบา “เธอชอบเหยียนเค่องั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้ชอบ” สวีอิ๋งอิ๋งรีบแก้ต่างให้ตัวเอง “แต่เขาทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น มันไม่ให้เกียรติฉันเลย จะให้ฉันสู้หน้าคนอื่นได้ยังไง!”
“อย่าโกรธไปเลย ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน” ดวงตาของเหยีนเฟิงฉายแววประกาย ก่อนจะยิ้มบางๆ
สวีอิ๋งอิ๋งมองผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าสีเดียวกับตนบนเวทีแล้วก็กัดริมฝีปาก ครุ่นคิดในใจ ซย่าเสี่ยวมั่วใช่ไหม ฉันจะให้เธอตายโดยไม่รู้ตัวเลยคอยดู