ตอนที่ 233 แสดงพลัง
ซย่าเสี่ยวมั่วฟังบทสนทนาอันเปลือกปลอมของฉินจานและคู่หมั้นเหยียนเค่อแล้วรู้สึกง่วงนิดหน่อย
“นี่เป็นของที่เหยียนเค่อซื้อมาฝากฉันจากอเมริกาค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งเอากระเป๋าในมือวางลงบนโต๊ะให้พวกเธอดู โปรยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง
“ไม่เลวนี่คะ เหยียนเค่อรู้จักซื้อของมาฝากคุณด้วย ฉันก็ได้แบบนี้เหมือนกัน” น้ำเสียงของฉินจานดูสรรเสริญ แต่เนื้อหาที่พูดทำคนฟังแทบกระอักเลือด ก่อนเธอจะแสร้งถามซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไม่ใส่ใจนัก “เธอก็ได้รับของขวัญเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เธอได้อะไรล่ะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วมองกระเป๋าบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ หัวใจเหมือนฟองน้ำที่ถูกคนบิดจนเต็มไปด้วยน้ำแล้วขยายตัวขึ้น เธอไม่ได้รับอะไรเลย ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันทำไมต้องให้ของขวัญเธอด้วย
“เขาจะให้ของฉันได้ไงล่ะ คุณสวีเป็นคู่หมั้นเขา แต่ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ซย่าเสี่ยวมั่วหั่นเค้กตรงหน้า มีความคิดอยากจะหั่นให้จานแตกไปเลย
“ไม่สิ ฉันจำได้ว่าเขาถือกล่องเล็กๆ มาใบหนึ่งบอกว่าจะให้เธอ น่าจะงานยุ่งเกินจนลืมล่ะมั้ง”
ฉินจานเตะเข้าที่ขาเธอหนึ่งที ทำไมต้องดับความกล้าหาญของตัวเอง แล้วให้คนอื่นมาเบ่งข่มด้วยเล่า
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแฟนเก็บที่ต้องแย่งความรักอย่างไรอย่างนั้น แถมตนยังไม่รู้แม้แต่ตัวตนที่แท้จริงของเหยียนเค่อเลยด้วยซ้ำ จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้อย่างไร
“คงงั้นมั้ง” เธอตอบฝืนๆ
เมื่อสวีอิ๋งอิ๋งได้ยินว่าของขวัญของฉินจานเหมือนกับของตน สีหน้าก็เจื่อนลงเล็กน้อย ต่อมาตอนได้ยินซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าเขาไม่ได้รับของขวัญ สีหน้าจึงจะดีขึ้นมาหน่อย
ต่อให้เธอไม่ได้รับการยอมรับแค่ไหน แต่ก็ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามคนนี้
“เมื่อวานไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่โรงพยาบาลมา เขาเจ็บหนักมากเลยค่ะ โตขนาดนี้แล้วยังตีกันอยู่อีก ทำตัวให้กลุ้มใจอยู่เรื่อย”
มุมปากของซย่าเสี่ยวมั่วกระตุกหนึ่งที เธอมาพูดถึงคู่หมั้นตัวเองแบบนี้ต่อหน้าคนไม่คุ้นเคย ไม่ค่อยดีเท่าไรมั้ง
“ซี่โครงหักด้วย แถมหลังยังเขียวช้ำไปหมด”
หัวใจของซย่าเสี่ยวมั่วก็หนักอึ้ง เมื่อวานเห็นเหยียนเค่อยังดีๆ อยู่ๆ เลย ทำไมถึงเจ็บหนักได้ล่ะ แถมคู่หมั้นเขาเจ็บหนักสาหัสขนาดนั้นแล้วผู้หญิงคนนี้ยังไม่ไปดูแล แต่มานั่งปล่อยเวลาทิ้งอยู่ที่นี่ทำไม? แถมยังกล้าบอกคนอื่นว่าเขากับคู่หมั้นความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ
สวีอิ๋งอิ๋งเอาแต่พูดถึงเหยียนเค่อไม่หยุด คนฟังอย่างซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
ตำหนิในใจ ‘รู้แล้วจ้าว่าเหยียนเค่อเป็นของเธอ แต่ช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นได้ไหม’
ฉินจานดื่มกาแฟไปสามแก้วแล้ว อยากไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่กล้าทิ้งซย่าเสี่ยวมั่วไว้ที่นี่ สุดท้ายอั้นไม่ไหวจริงๆ จึงไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเองก่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนิทกับสวีอิ๋งอิ๋ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร
พอฉินจานเดินออกไป สวีอิ๋งอิ๋งก็เริ่มวางมาดทันที
“เฮ้อ พวกตระกูลนักธุรกิจรายใหญ่เนี่ยนะ ผู้ชายคนไหนบ้างที่มีภรรยาอยู่แล้วแต่ไม่ออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน เห็นว่าคุณเป็นคนดีหรอกนะคะฉันถึงเตือน อยู่ให้ห่างจากเหยียนเค่อหน่อย จะได้ไม่เจ็บตัวเจ็บใจ”
“ขอบคุณที่เตือนนะคะ แต่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหยียนเค่อเลย”
สวีอิ๋งอิ๋งเห็นเห็นท่าทางไม่ใส่ใจนั่นแล้วก็กำหมัดแน่น เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ายายปีศาจจิ้งจอกนี่ดูมีเสน่ห์ยั่วยวน ตอนแรกยังนึกว่าเป็นเพราะการแต่งหน้า พอวันนี้ได้เห็นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ที่แท้พวกกิ๊กชาวบ้านนี่เปลี่ยนหน้ากันเก่งขนาดนี้
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเขาจ้องก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัว ตักเค้กเข้าปากอีกก้อนหนึ่ง
สวีอิ๋งอิ๋งเห็นเธอกินดื่มได้อย่างไม่กังวลเรื่องรูปร่างก็ถามขึ้นด้วยคำพูดที่คลุมเครือ “คุณซย่าระวังหน่อยก็ดีนะคะ พวกผู้ชายน่ะชอบหุ่นผอมๆ กันไม่ใช่เหรอคะ ถ้ากินจนอ้วนแล้วจะขายไม่ออกเอานะคะ”
“เหอะๆ” เธอพูดถึงตัวเองอยู่ล่ะสิ…ปกติเธอก็เป็นคนที่กินไม่อ้วนอยู่แล้ว ตอนนี้กินให้อิ่ม ข้าวเย็นก็ ประหยัดไปได้อีกมื้อ
เมื่อฉินจานกลับมาก็มีเพียงซย่าเสี่ยวมั่วนั่งอยู่ตรงนั้น จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แล้วเขาล่ะ?”
ซย่าเสี่ยวมั่วไปจ่ายเงิน เอ่ยอย่างเอือมระอา “กลับไปแล้ว”
เธอแค่พูดไปแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง “คุณสวีดูตัวเองให้ดีก่อนจะดีกว่านะคะ” จากนั้นเขาก็โมโหแล้วเดินออกไปเลย
ตอนที่ 234 ใส่สีตีไข่
คุณพ่อเหยียนสั่งไม่ให้คุณแม่เหยียนไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่โรงพยาบาล คุณแม่เหยียนทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างสวีอิ๋งอิ๋งเท่านั้น
สวีอิ๋งอิ๋งเที่ยวเล่นอยู่นอกบ้านทั้งวัน ไม่ได้เหยียบเข้าไปในโรงพยาบาลเลยแม้แต่ก้าวเดียว ก่อนจะกลับบ้านไปรายงานผล
“คุณน้าคะ สบายใจได้ค่ะ เหยียนเค่อดีขึ้นแล้ว วันนี้ไม่เจ็บแล้วค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งปลอบโยนคุณแม่
เหยียน คุณพ่อเหยียนที่นั่งอยู่อีกฝั่งอยากฟังข่าวคราวแต่ก็แสร้งทำเป็นโมโห ไม่สนใจว่าเหยียนเค่อจะเป็นจะตายอย่างไร แต่ลอบมองไปทางด้านนั้น
“เหยียนเค่อไอ้ลูกคนนี้ โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด โตขนาดนี้แล้วยังไปตีกับเขาอีก น่าขายหน้าจริงๆ” คุณแม่เหยียนโทรหาเหยียนเค่อกี่ทีๆ ก็ปิดเครื่อง
คุณพ่อเหยียนกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะดัง ปั่ก “ให้ไอ้ลูกบ้านั่นแต่งงานให้เร็วที่สุด! จะได้สำรวมใจบ้าง! ยิ่งโตก็ยิ่งก่อเรื่องวุ่นวาย!”
“คุณเงียบไปเถอะค่ะ! เลี้ยงดูแต่ไม่สั่งสอนก็เป็นความผิดของคนเป็นพ่อเหมือนกันนะคะ!” คุณแม่เหยียนโยนหมอนอิงใส่คุณพ่อเหยียนด้วยความโมโหไม่แพ้กัน
คุณพ่อเหยียนอดกลั้นจนหน้าแดงไปหมด คำรามขึ้น “คุณให้ท้ายลูกจนเสียคนน่ะสิไม่ว่า!”
สวีอิ๋งอิ๋งห้ามคุณแม่เหยียนไว้ก่อนจะเอ่ยปลอบ “เอาเถอะค่ะๆ คุณน้า อย่าโกรธไปเลยนะคะ ต่อไปเหยียนเค่อจะไม่ทำให้พวกคุณน้าคุณอาต้องเป็นห่วงแน่นอนค่ะ แต่หนูได้ยินมาว่า หลานชายของตระกูล
หลี่เจ็บหนักมากเลย คือ…”
“แล้วแต่หนูแล้วกัน รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน หนูก็หมั้นกับเหยียนเค่อซะ คอยคุมเขาหน่อย ให้เขาสำรวมใจเสียบ้าง!” คุณแม่เหยียนลูบมือสวีอิ๋งอิ๋ง ใบหน้าอ่อนหวานอบอุ่นที่มีริ้วรอยของวัยฉายแววเอือมระอาและจนปัญญา
“คุณน้าสบายใจเถอะค่ะ จะว่าไปก็น่าอายจังเลยนะคะที่หนูยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการงานของ
เหยียนเค่อเท่าไรเลย หนูยังไม่เคยไปบริษัทเขาเลยด้วยซ้ำ” สวีอิ๋งอิ๋งปั้นหน้าได้ดีเยี่ยม ดวงตาหลุบต่ำและ
สีหน้าหงอยเหงา ทำให้คุณแม่เหยียนเห็นแล้วก็รู้สึกทนไม่ได้
“ให้เหยียนเค่อรีบกลับมาเหยียนกรุ๊ปซะ เลี้ยงให้ไปโตเมืองนอกจนบ้าไปกันใหญ่แล้ว! นึกว่าตัวเองเก่งมาก แต่ความจริงแล้วเทียบกับเหยียนกรุ๊ปไม่ได้เลย!”
สวีอิ๋งอิ๋งได้ยินเช่นนี้ก็หน้าตึง จะให้เหยียนเค่อกลับเหยียนกรุ๊ปง่ายดายแบบนี้ไม่ได้
คุณพ่อเหยียนโมโหจนไอโขลก ดื่มชาให้ชุ่มคอ “อิ๋งอิ๋ง หนูแต่งเข้ามาได้อย่างไม่ต้องกังวลเลยนะ บ้านเหยียนไม่ใจร้ายกับหนูแน่นอน ต่อไปจะไม่ให้เหยียนเค่อมาแกล้งหนูอีกแล้ว”
คุณพ่อเหยียนเสนอเงื่อนไขให้เธอล่วงหน้าทั้งหมดไม่ได้ ที่พูดเช่นนี้ไปก็เพราะว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะได้ไม่มากังวลทีหลัง
“หนูก็อยากแต่งให้เร็วที่สุดเหมือนกัน ก็คงต้องแล้วแต่เหยียนเค่อแล้วค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งแสร้งทำท่าเขินอายเป็นสาวน้อยแล้วเปลี่ยนประเด็น “แต่ฉันคิดว่าผู้ชายตอนหนุ่มๆ ออกไปตรากตรำทำงานอยู่ข้างนอกก็ดีนะคะ เขาจะได้รู้ว่าบ้านตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว รอให้เขาลำบากก่อนก็เข้าใจเองแหละค่ะ”
“อิ๋งอิ๋งพูดถูก มีลูกสะใภ้แบบนี้อาก็วางใจ” คุณพ่อเหยียนทอดถอนใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นบ้านไป “อิ๋งอิ๋งก็อยู่คุยเป็นเพื่อนน้าเขาหน่อยนะ เที่ยงนี้ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน”
“ค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งรู้ว่าแต่งงานเข้าบ้านตระกูลเหยียนนั้นได้สินสอดไม่น้อยแน่นอน แต่ที่เธอต้องการคือตำแหน่งคุณนายใหญ่ของบ้านตระกูลเหยียน เงินมากมายเท่าไรก็ไม่สามารถเทียบได้
สวีอิ๋งอิ๋งและคุณแม่เหยียนไม่ได้คุยกันอย่างสนุกสนาน ก็แค่ไม่ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาก็เท่านั้น
คุณแม่เหยียนเองก็ไม่ได้พอใจในลูกสะใภ้คนนี้มากมายนัก ก็แค่รู้สึกว่าเหมาะสมกับลูกชายตนเท่านั้น
บนโลกนี้ คนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เธอก็อยากให้เหยียนเค่อหาผู้หญิงที่ตรงใจเขาเช่นกัน แต่โลกใบนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ การตามหาใครคนนั้นยากลำบากเพียงไหนกัน ทำได้เพียงกล้ำกลืน หาคนอื่นมาทดแทน
เหยียนเฟิงกลับบ้านตอนเที่ยงก็เห็นสวีอิ๋งอิ๋งนั่งอยู่บนโซฟาในบ้าน ส่วนแม่ของตนทำอาหารอยู่ในครัว
“อิ๋งอิ๋งมาบ้านเหรอ”
“ค่ะ พี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอคะ งานยุ่งขนาดนี้แต่ก็ยังกลับมากินข้าวที่บ้านด้วย” สวีอิ๋งอิ๋งหลบสายตาอันร้อนแรงของเหยียนเฟิง พูดหยอกล้อกับเขาอย่างขวยเขิน
“ใช่ สวรรค์บอกกับฉันว่ามีสามงามมาทานมื้อเที่ยงกับฉันน่ะ” เหยียนเฟิงเอาเสื้อคลุมตัวนอกพาดแขนไว้ แล้วก้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ
สวีอิ๋งอิ๋งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มที่อบอวลอยู่ด้านหลัง ทำเอาใบหน้าแดงซ่าน เอ่ยเบาๆ อย่างแง่งอน “พูดอะไรคะเนี่ย”
“ทำไม ไม่ชอบเหรอ”
เหยียนเค่อเอ่ยหยอกล้อเธอไปพลางดูลาดเลาเผื่อว่าจู่ๆ แม่เขาจะโผล่ออกมา
“ชอบค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งพูดเสียงเบา มองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของเหยียนเฟิงแล้ว หัวใจก็เต้นตึกตัก