ตอนที่ 209 ที่พึ่ง
เหยียนเค่อมือหนึ่งจับราวกั้น เงยหน้ากระดกเบียร์ ทุกท่วงท่าอากัปกริยาราวกับพระราชา
สองมือของเซ่าหมิงฟ่านไขว้ทับกันบนราวกั้น หันไปมองท่าทางของเขาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอิจฉา “นายชีวิตสบายสุดละ ชาติที่แล้วต้องเป็นฮ่องเต้ที่ทำประโยชน์ไว้มากแน่นอน”
เหยียนเค่อวางกระป๋องเบียร์ที่ดื่มหมดแล้วไว้ข้างตัว นั่งพิงราวกั้นแล้วเอ่ยเสียงเศร้า “ไม่ว่าใครก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ฉันยังอิจฉาซย่าเสี่ยวมั่วเลย”
เซ่าหมิงฟ่านฟังจบก็หัวเราะเหยียด นั่งตัวตรง “เทียบกันได้ที่ไหน สาวน้อยคนนั้นไม่ได้เรื่องมากเหมือนนายสักหน่อย ถ้านายไปแปลงเพศก็ได้อยู่นะ”
“บ้านแกสิ” เหยียนเค่อปรายตามองเขา
เขาหวังว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ถ้ามีแฟนหนุ่มก็ขอให้สามารถปกป้องให้เธอไม่มีเรื่องทุกข์ใจไปตลอดชีวิตได้
เฮ้อ รู้สึกว่าเขาจุ้นจ้านมากเกินไปจริงๆ
ทั้งคู่นั่งกินลมในยามค่ำคืน หัวใจคิดถึงหญิงสาวที่ไม่ใช่คนของตัวเอง
ความกลัดกลุ้มเศร้าหมองอันเงียบสงบหลบซ่อนตัวอยู่ในท้องฟ้ายามพลบคล่ำอันมืดมิด แผ่ซึมไปทั่วบรรยากาศ มีเพียงสายลมที่เงียบสงัดพัดผ่านรอยต่อของเสื้อผ้า พัดพาความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ร่วง
……
อาจจะเพราะว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วและเสิ่นจิ้งเฉินเล่นด้วยกันทั้งวันแล้วก็สนิทสนมกันเสียยิ่งกว่าพี่ชายน้องสาวแท้ๆ เสียอีก คุยกันได้ทุกเรื่องเลย
“พี่ ยายนี่แหละ มาหาเรื่องฉันอีกแล้ว!”
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังหาที่พึ่งอยู่
เซียวอู๋อี้เอาตัวเข้าแลก เธอก็จะให้ครอบครัวของเธอช่วยบ้าง ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกผิดต่อการที่เซียวอู๋อี้โยนความผิดให้เธอแย่เลย
ก็ฉันมีครอบครัวคอยช่วยนี่ ใครจะทำไม!
เสิ่นจิ้งเฉินมองปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก “เขาต้องแพ้แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเขียนแถลงการณ์ให้เธอได้นะ เธออยากได้แบบกลอนคู่หรือว่ากลอนยาวล่ะ”
“เอ่อ…แล้วพี่รู้ได้ไงว่าฉันจะชนะ”
ถ้าฉันอยากให้เธอแพ้ เหยียนเค่อก็ไม่ยอมหรอก เสิ่นจิ้งเฉินบ่นในใจ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “น้องสาวฉันเป็นคนดี พระเจ้าจึงคุ้มครอง เธอไม่ต้องสนใจหรอก มีคนจัดการให้เธอแล้ว”
ทำไมที่พึ่งพิงคนนี้ไม่หนักแน่นแข็งแรงเหมือนพ่อของตนเลยนะ ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ยอม เอาโพสต์ที่ตนลงรูปให้เขาดู
“ดูสิ เขาบอกว่าพี่ขี้เหร่อะ”
เสิ่นจิ้งเฉินมองปราดหนึ่ง เซียวอู๋อี้คอมเม้นต์ด้านล่างว่า [เป็นผู้หญิงต้องเคารพและรักในตัวเอง ต้องถนอมตัวเอง หาผู้ชายอายุมากแบบนี้มาเป็นที่พึ่งให้ตัวเองจนน่าเวทนา แฟนคลับอย่าเลียนแบบนะคะ]
เขาเลิกคิ้วขึ้น กดติดตามเวยปั๋วของซย่าเสี่ยวมั่ว แล้วโพสต์รูปเซลฟี่อย่างกล้าหาญด้วยชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันตำแหน่งว่าเป็นนักวิชาการณ์, นักเขียน, หัวหน้าศูนย์วิจัยภาษาจีน
ใช่แล้ว โพสต์รูปเซลฟี่…อวดใบหน้าอันหล่อเหลาของตน ก่อนจะ @ ซย่าเสี่ยวมั่ว
[คุณไม่มีแม้แต่ที่พึ่งอายุมากแล้วยังคิดจะมาเทียบกับมั่วมั่วของเราอีก] เสิ่นจิ้งเฉินร้องเหอะ ก่อนจะจุดไฟให้เธอเพิ่มอีก
เห็นโพสต์ที่จริงจังของเสิ่นจิ้งเฉินแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็ตะลึงไป เธอไม่ได้หมายความว่าแบบนี้…
แค่จู่ๆ เธอก็มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าเสิ่นจิ้งเฉินจะทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
แถมบุคลากรของประเทศอย่างเขามาโพสต์รูปเซลฟี่จะส่งผลกระทบไม่ดีหรือเปล่า
“พี่รอง พี่ทำแบบนี้ไม่โดนคนว่าเรื่องการประพฤติตัวเหรอ”
เสิ่นมั่วหลียกแก้วขึ้นดื่มน้ำ เดินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงซย่าเสี่ยวมั่วก็ไขข้อข้องใจให้ “เสิ่นจิ้งเฉินมีบรรยายเยอะ เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว ผู้มีอิทธิพลของศูนย์วิจัยน่ะ”
“งั้นเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วดวงตาเป็นประกาย “เจ๋งขนาดนั้นเลย?”
เสิ่นจิ้งเฉินกำลังวุ่นกับการค่อนแคะคนอื่นอยู่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของตนให้
ซย่าเสี่ยวมั่วด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “แน่นอนสิ”
ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะ นึกไปถึงพี่ใหญ่แล้วถามขึ้นอย่างฉงนสงสัย “พี่ใหญ่หล่อกว่านี่นา ทำไมพี่ใหญ่ไม่ใช่ล่ะ”
เสิ่นจิ้งเฉินเหลือบตามองเธอปราดหนึ่ง ยายนี่ไม่รู้จักพูดจาดีๆ เอาซะเลย
เสิ่นมั่วหลีโดนเธอชมเข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ลูบคางตัวเองขบคิดก่อนจะเอ่ย “ฉันน่าจะเป็นพวกผู้มีอิทธิพลในด้านวัตถุโบราณมั้ง”
เสิ่นจิ้งเฉินหัวเราะแล้วอธิบาย “พี่ใหญ่ไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น ไม่มีใครอยากทำให้พี่ใหญ่เราไม่พอใจหรอก ดังนั้นก็เลยเป็นฉันยังไงล่ะ”
“อ้อ” พูดไปพูดมา ยังไงซะพี่ใหญ่ก็เจ๋งกว่า เสียดายที่ที่พึ่งคนนี้แตะต้องไม่ได้ และก็ไม่กล้าแตะต้องเสียด้วย
ตอนที่ 210 งานเลี้ยง
ในงานเลี้ยงหลังจากเซ็นสัญญาของบริษัทนั้น
เซ่าหมิงฟ่านที่ตอนแรกไม่อยากมา ในตอนนี้ก็มาร่วมงานด้วย เป็นผู้ช่วยพิเศษให้เหยียนเค่ออย่างเต็มตัว
ส่วนผู้ช่วยพิเศษของเหยียนเค่อโดนเขาใช้ให้ไปซื้อของขวัญแล้ว เรื่องเล็กๆ พวกนั้นไม่ต้องถึงมือเขาหรอก
“ฉันไม่สนใจผู้หญิงต่างชาติเลยสักนิด” เซ่าหมิงฟ่านถอนหายใจ มองดูสาวๆ อวบอึ๋มที่อยู่เต็มงาน “คิดถึงสาวใต้บ้านเราจังเลย”
“เดี๋ยวก็มา”
เหยียนเค่อเล่นงานคนตาไม่กะพริบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เซ่าหมิงฟ่านตามมาเอง อันนี้จะโทษเขาไม่ได้
“ประธานเหยียน รอคอยการทำงานร่วมกันครั้งหน้านะครับ”
“แน่นอนครับ บริษัทของคุณดูดีมากเลย ถ้าได้ร่วมงานกันก็เป็นเกียรติของผมอย่างยิ่งเลยครับ”
เหยียนเค่อพูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
เซ่าหมิงฟ่านรู้จักคนในวงการนี้เยอะกว่า ยังไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยพิเศษเลยก็โดนแย่งตัวไประหว่างทางเสียก่อน
ต่อให้ไม่มีเขา เหยียนเค่อก็ต้องมางานคนเดียวอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว
แสงแดดส่องกระทบปลายผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างของชายชาวเอเชียนั้นอ่อนโยนแต่ก็โดดเด่น ดูมีมารยาทและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ ไม่แพ้ชายหนุ่มมากฝีมือรูปร่างกำยำท่าทางเย็นชาเหล่านั้นเลย
ไม่นานนักรอบตัวก็มีหญิงสาวสี่ห้าคนเข้ามารุมล้อม
เหยียนเค่อเขย่าคนแชมเปญในแก้วอย่างนึกรำคาญ มือหนึ่งล้วงกระเป๋า สีหน้าเย็นชา
แต่ผู้หญิงกลุ่มนั้นกลับไม่รู้สึกตัวสักนิด ยังคงยืนถามเหยียนเค่อนู่นนี่นั่นอยู่ข้างๆ
“เหมือนว่าบริษัทของคุณจะขาดแคลนผู้ชายนะครับ” น้ำเสียงของเหยียนเค่อยังดีอยู่ แต่ใช้คำได้เถรตรงเกิน
ผู้หญิงที่ตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างสูงคนนั้นถือแก้วแล้วหันหลังเดินจากไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือสองสามคนก็ไม่แสร้งทำเป็นฟังไม่ออก ทำได้เพียงแยกย้ายกันไป
ผู้หญิงต่างชาติถึงจะรับมือยากและกระตือรือร้นกว่าสาวบ้านเรา แต่ผู้หญิงบ้านเรามักจะฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง สาวต่างชาติได้ยินคำพูดปฏิเสธที่ตรงไปตรงมาแล้วก็จะไม่มาตอแยคุณอีก
แบบนี้ก็ดี ทำให้เหยียนเค่อดูเหมือนคนที่เข้าถึงยาก ดูดุดันจนทำให้คนไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย
ส่วนเซ่าหมิงฟ่านก็เนื้อหอมไม่ใช่น้อย เหยียนเค่อไล่ออกไปได้เท่าไร เขาก็เรียกเข้ามาได้เท่านั้น
เซ่าหมิงฟ่านมีจิตใจที่สงบนิ่งบริสุทธิ์ และมีความเศร้าที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ชัดเจนนัก ทำให้คนเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว
เหยียนเค่อเหลือบมองไปทางเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะมีบริกรมาพาเข้าไปห้องด้านในเพื่อพบปะกับท่านประธานของบริษัทนี้
“เป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับ YAN และหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ร่วมงานกันอย่างมีความสุขนะครับ”
“ครับ” เหยียนเค่อยิ้มแล้วชนแก้วกับอีกฝ่าย
ปกติแล้วก็ต้องมีการถ่ายภาพร่วมกัน มีงานแถลงข่าว แต่เหยียนเค่อไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงต้องพับเก็บไป
ในฐานะที่เป็นเจ้าของสัญญา ก็ควรจะเป็นเหยียนเค่อที่ต้องขึ้นพูดปราศรัย แต่อยู่ในถิ่นของคนอื่นแล้วให้เขาขึ้นไปพูดอีกก็รู้สึกแปลกๆ ดังนั้นจึงถูกเขาปฏิเสธไปอีก
การที่เหยียนเค่อมาด้วยตัวเอง ทำให้บริษัทนี้ประหยัดแรงไปเยอะ
ซูอี้พาฉินจานเข้ามาก่อนที่งานจะเริ่ม
เหยียนเค่อที่ยืนอยู่ด้านข้างของเวทีเห็นสองสามีภรรยาก่อน แน่นอนว่าซูอี้ก็เห็นเหยียนเค่อที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด ทั้งคู่จึงยกแก้วขึ้นทักทายกัน
เซ่าหมิงฟ่านยืนอยู่ด้านล่างไม่รู้ว่าเหยียนเค่อเจอใครเข้า แต่ก็ทำให้รอยยิ้มสดใสเหือดหายไป ตอนนี้แทนที่ด้วยสีหน้าที่ดูใจดี แต่จิตใจมีความคิดชั่วร้ายอยู่
ตลอดการพูดปราศรัยอันยืดยาวนั้น เหยียนเค่อเอาแต่ยืนเป็นผ้าม่านอยู่ข้างๆ เมื่อพูดถึง YAN ก็ยิ้มเล็กน้อย กว่าขั้นตอนเหล่านี้จะสิ้นสุด เขาก็ยืนจนเมื่อยขาไปหมด
สุดท้ายก็จบลงเสียที หัวหน้าสูงสุดของทั้งสองฝ่ายจับมือกัน งานจึงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ซูอี้เดินไปต้อนรับเหยียนเค่อทันทีที่ลงจากเวที แล้วยื่นกำปั้นไปทักทายเขาก่อนจะพูดเชิงหยอกล้อ “นายนี่ก็ประหยัดเงินดีนะ ถ้าอยู่ที่ถิ่นเราคงเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่”
“ฉันชอบแบบนี้” เหยียนเค่อพิงโต๊ะ ยืนจนเมื่อยขาแต่ไม่มีที่ให้นั่ง