ตอนที่ 349 เดินเล่นเบื่อๆ
ผู้ช่วยหวังยืนอยู่ข้างโต๊ะ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“มีพนักงานผู้หญิงคนใหม่เข้ามาทำงานที่ YAN คุณไม่ดีใจเหรอ”
ผู้ช่วยหวังเพิ่งเอาสมุดรายชื่อบัญชีมาส่งให้ เห็นว่าเหยียนเค่อคุยโทรศัพท์อยู่กำลังจะถอยออกไปกลับโดนเหยียนเค่อกวักมือเรียกไว้ก่อน เขาจึงได้ฟังเนื้อหาในการสนทนาทางโทรศัพท์ทั้งหมด
“ความจริงพนักงานผู้หญิงในบริษัทเราก็เยอะอยู่นะครับ” ผู้ช่วยหวังพูดความจริง เพียงแต่สายตาของเหยียนเค่อมีแต่ผู้ชายเดินไปเดินมาก็เท่านั้น
“แล้วพวกคุณมาบอกผมว่าน้อย”
“พวกเราไม่ได้คิดว่าน้อยครับ แต่ชั้นยี่สิบสามมีแค่ชวีไหน่ที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแค่คนเดียว”
เหยียนเค่อไม่สนใจคำที่เขาพูด “คุณก็ได้ยินแล้วนะ ไปจัดการซะ”
“ครับ” ผู้ช่วยหวังว่าแล้ว เรื่องที่มีสาวสวยมาก็เป็นแค่เรื่องรอง เรื่องที่เขาต้องทำงานสิเรื่องหลัก ตอนกำลังจะถอยออกไปก็ได้ยินเหยียนเค่อพูดขึ้น “เอาสมุดรายชื่อบัญชีไปด้วย ผมดูหมดแล้ว”
ท่านดูหน้าปกแค่แวบเดียวแล้วก็ถือว่าดูแล้วหรือครับ ผู้ช่วยหวังไม่กล้าตั้งคำถามกับเหยียนเค่อ ทำได้เพียงยกของที่ตนเพิ่งเอาเข้ามากลับออกไป
สมุดรายชื่อบัญชีแค่ไหนกันเนี่ย คนจับต้องมากมายขนาดนั้น เหยียนเค่อก็แค่นึกครื้มขึ้นมาก็เท่านั้น ไม่ได้อยากเปิดเช็คบัญชีเลยแม้แต่น้อย
เข่าของซย่าเสี่ยวมั่วยังเจ็บอยู่ ไม่กล้าขยับขามาก แต่ฉินซื่อหลานก็ได้รู้แล้วว่าคนมองโลกในแง่ดีนั้นทำให้คนทรมานได้มากเพียงไหน
“มีหม้อสักใบคงจะดี” ซย่าเสี่ยวมั่วทำหน้าเพ้อฝัน “การทำอาหารจะทำให้คนมีความสุข”
“เธอไปอยู่ที่โรงอาหารไหมล่ะ” ฉินซื่อหลานพูดล้อเล่น
ซย่าเสี่ยวมั่วมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่นอกหน้าต่าง “ฉันยังอยากซักผ้าอยู่เลย”
“เหยียนเค่อไม่มีเสื้อผ้าให้เธอซักแล้ว” นี่มันคือนิสัยแบบไหนกัน อยู่ว่างๆ ไม่ได้เหรอ “เธอวาดการ์ตูนไม่ใช่เหรอ มือเธอก็ไม่ได้เจ็บนี่ วาดต่อสิ”
“ใครจะวาดรูปทุกวันล่ะ ฉันไม่มีอารมณ์” ซย่าเสี่ยวมั่วร้องหึ “ที่นี่ไม่มีกระดาษซักแผ่น ฉันก็วาดรูปไม่ได้หรอก”
ฉินซื่อหลานไม่เข้าใจความคิดของศิลปิน “อาจารย์ฉีไป๋สือ[1]ก็ฝึกวาดรูปทุกวันไม่ใช่เหรอ”
“แล้วนายรู้ไหมว่าวันไหนที่เขาไม่วาดก็จะต้องมาวาดซ่อมทีหลังน่ะ” น้ำเสียงของซย่าเสี่ยวมั่วเหมือนพูดกับคนปัญญาอ่อน “ฉันไม่วาดวันนี้ก็หมายความว่าในอนาคตสักวันหนึ่งก็ต้องวาดซ่อมอยู่ดี” แน่นอนว่าการวาดซ่อมของเธอกับของอาจารย์ฉีไป๋สือนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
ฉินซื่อหลานพูดไม่ออก “ถ้างั้นฉันเข็นเธอออกไปเดินเล่นดีไหม”
“ฟ้ามืดหมดแล้ว ฉันจะเห็นอะไร” ซย่าเสี่ยวมั่วเริ่มสงสัยในสติปัญญาของเขาแล้ว
ฉินซื่อหลานที่โดนเธอปฏิเสธอีกครั้งเริ่มใช้การกระทำมาพิสูจน์ตัวเอง “ตอนกลางคืนข้างนอกมีไฟถนน เธอต้องมองเห็นแน่นอน”
“เหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกสนใจขึ้นมา “ก็จริงนะ งั้นก็รีบเข็นฉันออกไปสิ”
“เฮ้อ” ฉินซื่อหลานไม่เคยโดนใครเรียกใช้ขนาดนี้มาก่อนเลย “ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอมาทั้งวันยังไม่ได้ทำงานทำการอะไรเลยนะ” ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังเข็นเธอออกไปจากห้องอย่างขยันขันแข็ง
“วันนี้นายไม่ได้พักเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขาคุยจ้อกับตนตลอดก็นึกว่าวันนี้เขาหยุดพัก “นายหยุดงานตามอำเภอใจแบบนี้ ควรจะหักเงินเดือน”
“โรงพยาบาลเป็นของฉัน ฉันหักเงินตัวเองก็ยังเป็นเงินฉันอยู่ดี” ฉินซื่อหลานปรายตามองต่ำ ก่อนจะเข็นเธอเข้าลิฟต์ไป
ด้านนอกลมเย็นเล็กน้อย ซย่าเสี่ยวมั่วกระชับผ้าห่มที่คลุมตัวไว้แน่น ก่อนจะบ่นฉินซื่อหลาน “แค่ดูก็รู้แล้วว่าเราสองคนไม่ใช่แฟนกัน ลงมาก็ไม่เอาเสื้อมาให้ฉันเลย”
ฉินซื่อหลานโยนถุงกระดาษที่แขวนอยู่บนวีลแชร์ลงบนขาของเธอ “เหยียนเค่อเอาเสื้อมาให้เธอ ก็ไม่เห็นว่าพวกเธอจะเป็นแฟนกันเลยนี่”
“ฮะ?” ซย่าเสี่ยวมั่วตะลึงกับถุงกระดาษตรงหน้า ไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด
ฉินซื่อหลานเองก็ขี้เกียจจะอธิบายแล้ว
——
[1] ฉีไป๋สือ เป็นศิลปินชาวจีนชื่อดัง
ตอนที่ 350 ไม่ชอบใจ
ตอนที่ฉินซื่อหลานวางสายจากเหยียนเค่อ เขาบอกว่าอย่าให้ซย่าเสี่ยวมั่วเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง ถ้าเขาเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปข้างนอกจนป่วยขึ้นมาล่ะก็ จะทำให้คนอื่นเป็นซึมเศร้าได้
ฉินซื่อหลานตอบรับแล้วเขาก็กำชับอีกว่าตอนออกไปอย่าลืมเอาเสื้อผ้าติดไปให้ซย่าเสี่ยวมั่วด้วย
“นายไปเอาเสื้อผ้ามาจากไหน”
“คนอื่นส่งมาให้น่ะ” ฉินซื่อหลานก็แค่บอกเหยียนเค่อว่าที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าเหลือให้ซย่าเสี่ยวมั่วใส่แล้วเท่านั้น ไม่นานเสื้อผ้าก็มาส่งถึงหน้าประตูทันที
“อ๋อ” เขาก็ไม่บอกว่าเป็นใคร ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่อยากคิดไปเองให้มากไป หยิบเสื้อผ้าในถุงออกมาแล้วโยนถุงกลับคืนไปให้ฉินซื่อหลาน เสื้อโค้ตขนแกะสีน้ำตาลกากีขนาดพอดีตัว “เอ๊ะ ทำไมฉันใส่พอดีเลยล่ะ”
ฉินซื่อหลานล่ะสงสัยในสติปัญญาของซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งมาให้
“บังเอิญมั้ง” ฉินซื่อหลานตอบแบบขอไปที ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน เดินไปบนทางเดินมืดมิดที่ล้อมรอบไปด้วยหมู่แมกไม้จู่ๆ
ซย่าเสี่ยวมั่วก็พูดขึ้น “นี่น่ะเหรอไฟถนนที่นายพูดถึงน่ะ” เพิ่งพูดจบก็รู้สึกตัวสั่น เสียงของซย่าเสี่ยวมั่วสั่นไหว “นี่ฉัน…ไป…ไปทำอะไรให้นาย…ไม่พอใจเนี่ย…”
ฉินซื่อหลานเข็นวีลแชร์ไปบนหินปูถนนก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินมาทางนี้”
ซย่าเสี่ยวมั่วจับที่วางแขนไว้แน่นแล้วสั่นสะท้านเป็นพักๆ “นาย…จะแก้แค้นฉันใช่ไหม!”
ในที่สุดก็เดินมาจนสุดถนน แสงไฟจากไฟถนนส่องสว่างถนนตรงหน้า
ฉินซื่อหลานได้ยินน้ำเสียงเธอเช่นนี้แล้วก็รู้สึกตลกแปลกๆ เข็นเธอต่อไปแล้วถามต่อ “ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วฉันจะแก้แค้นเธอทำไม”
“ใครจะไปรู้ว่าคนถ่อยอย่างนายจะคิดอะไรอยู่” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขาจะหันกลับไปทางเดิมก็ขี้ขลาดขึ้นมาทันที “เฮ้ยๆๆๆ ฉันผิดไปแล้ว! อย่าเดินไปทางนั้นนะ!”
ทั้งสองคนกำลังเถียงกันอย่างสนุกสนานได้ยินเสียงที่ทำให้คนไม่ชอบใจก็ดังมาจากด้านหลัง
“มั่วมั่ว! มั่วมั่ว!”
มือของซย่าเสี่ยวมั่วที่ตีเข้าที่แขนของฉินซื่อหลานชะงักลง ฉินซื่อหลานก็หยุดเข็นรถวีลแชร์
ทั้งคู่จ้องตากัน ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
ถ้าให้โอกาสซย่าเสี่ยวมั่วอีกครั้ง เธอยอมให้ฉินซื่อหลานเข็นเธอไปบนทางเดินที่ปูด้วยหินดีกว่าที่ต้องเจอกับหลี่หมิงฉวี
“ฉินซื่อหลาน” หลี่หมิงฉวีนึกว่าเป็นเหยียนเค่อ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วกลับพบว่าเป็น
ฉินซื่อหลาน
“อืม” ไม่ว่าจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็รับมือได้หมด ฉินซื่อหลานก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เข็นซย่าเสี่ยวมั่วแล้วหมุนตัวกลับไป
ซย่าเสี่ยวมั่วมองหลี่หมิงฉวีที่นั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ฉินซื่อหลานมายืนอยู่ข้างหน้าเธอจะตายไหม
ฉินซื่อหลานมองคนบนรถเข็นที่อยู่ตรงหน้าเขาทั้งสองคน มุมปากกระตุกอยากจะหัวเราะแต่ต้องกลั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยทักทายกับหลี่หมิงฉวีด้วยมาดขรึม “ตอนนี้คุณยังเดินไม่ได้อีกเหรอครับ”
ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้าผาก นี่ไปเรียนวิธีการพูดกับเหยียนเค่อมาใช่ไหม หาเรื่องให้โดนเกลียดชัดๆ เลยนี่นา
สีหน้าของหลี่หมิงฉวีเปลี่ยนไป แต่อยู่ต่อหน้าซย่าเสี่ยวมั่วเขายังสามารถปกปิดอารมณ์บนสีหน้าของตนได้อยู่ “ขอบคุณที่เป็นห่วง ตอนนี้เดินได้แล้วครับ แต่เหนื่อยนิดหน่อย”
“อืม”
ถ้าถามถึงเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจล่ะก็ ฉินซื่อหลานเคยรักษาให้เฉินเจวี้ยน เฉินเจวี้ยนน่าจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงสุดในบรรดาผู้ป่วยทุกคน แต่คนไข้ที่เดินกายภาพเยอะๆ แล้วกลับมาแข็งแรงอย่างหลี่หมิงฉวีนั้น สำหรับฉินซื่อหลานแล้วเป็นเรื่องธรรมดามาก การเดินแล้วรู้สึกเหนื่อยก็เลยเลือกที่จะนั่งรถเข็น ต่อไปจะทำให้ติดการใช้รถเข็นวีลแชร์แทน ปกติแล้วแพทย์จะไม่แนะนำ แต่ถ้าหลี่หมิงฉวีจะนั่งเขาก็ไม่ว่าอะไร
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เมินเฉยต่อสายตาร้อนแรงของหลี่หมิงฉวีที่ส่งมา
“มั่วมั่ว เธอเป็นอะไรเหรอ” หลี่หมิงฉวีเห็นว่าเธอก็นั่งรถเข็นอยู่เช่นกัน จึงถามอย่างสงสาร