ตอนที่ 377 ความจริงที่แตกต่าง
เบลล์นึกว่าหลังจากเธอกลับไปแล้ว เหยียนเฟิงจะเข้าไปที่บริษัท แต่ใครเลยจะล่วงรู้ว่าตอนเธอไปถึงแล้วเขายังอยู่ที่บ้านอยู่ แม้แต่ตำแหน่งที่นั่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง คนที่สามารถนั่งอยู่ที่เดิมได้ทั้งวันนี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ” เหยียนเฟิงทำงานในมือต่อโดยไม่ได้หันกลับมามองเธอ
เบลล์รู้สึกว่าเธอเงียบเชียบที่สุดแล้วแต่เขาก็ยังได้ยิน จึงตอบกลับ “ค่ะ” อยากถามเขาว่าทำไมไม่เข้าบริษัทแต่ก็กลัวว่าถ้าถามไปแล้วจะทำให้เขาโมโห จึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ แล้วเดินเข้าไปทำอาหารในครัวเงียบๆ
สวีอิ๋งอิ๋งเข้าไปทำงานที่เหยียนกรุ๊ปวันแรก เดินไปที่โต๊ะทำงานของเบลล์ในห้องทำงานเก่าอย่างกระตือรือร้น แต่คนด้านในที่กำลังจัดของอยู่นั้นกลับบอกเธอว่า ห้องทำงานของเธออยู่ที่แผนกบัญชี
เธอเข้าไปรายงานตัวที่แผนกบัญชี แต่สุดท้ายกลับถูกจัดให้ไปนั่งตรงมุมด้านในสุดของโต๊ะทำงานแบบกั้น จึงไปยืนยันกับแผนกบุคคล อีกฝ่ายบอกเธอว่าไม่มีปัญหาอะไร เบื้องบนกำหนดมาแบบนี้ สวีอิ๋งอิ๋งไม่ยอมแพ้ ขึ้นไปหาเหยียนเฟิงเพื่อจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่ได้รับแจ้งว่าเหยียนเฟิงลาพักร้อน จะไม่เข้าบริษัทเป็นเวลาเกือบสองเดือน
ความขุ่นเคืองที่เธอสะกดไว้ในใจไร้ซึ่งที่ระบาย ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานก็กลับไปก่อนแล้ว โทรศัพท์หาเหยียนเฟิงก็ปิดเครื่อง และก็ไม่รู้ว่าเหยียนเฟิงพักอยู่ที่ไหน ขบกรามแน่น เมื่อเริ่มแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ เธอจึงแจ้นไปที่บ้านตระกูลเหยียนเพื่อให้คุณพ่อเหยียนตัดสินใจแทนเธอทันที
คุณพ่อเหยียนฟังสวีอิ๋งอิ๋งบ่นตำหนิอย่างใจเย็น สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเหยียนเฟิง อาให้เขาทำแบบนี้เอง”
สวีอิ๋งอิ๋งอึ้งไป “คุณอา…”
“หนูต้องพึ่งตัวเอง ตระกูลเหยียนก็เริ่มต้นในตอนที่ยากจน และเติบโตขึ้นมาทีละก้าวเหมือนกัน ถ้าหนูจะแต่งเข้าบ้านเราก็ต้องเข้าใจชีวิตแบบนี้เสียก่อน ในอนาคตต่อให้เหยียนเค่อมีชีวิตที่ลำบากหนูจะได้อยู่เคียงข้างเขาได้”
“แต่หนู…” สวีอิ๋งอิ๋งไม่เข้าใจ เธอไม่อยากแต่งงานกับเหยียนเค่อด้วยซ้ำ ต่อให้ในอนาคตถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับเหยียนเค่อ แต่ทำไมเธอต้องใช้ชีวิตยากลำบากไปกับเหยียนเค่อด้วย
คุณพ่อเหยียนรู้สาเหตุที่เธอมาหาเขาแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป นั่งล้างใบชาต่ออีกหลายครั้ง “ทำไม หนูไม่อยากเหรอ”
สวีอิ๋งอิ๋งอยากพยักหน้าก็ไม่กล้า พึมพำเสียงเบา “แต่ก็ไม่ควรเป็นแบบนี้นี่คะ…”
คุณแม่เหยียนรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ดูบอบบาง หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ตอนนี้ตระกูลเหยียนพัฒนาขึ้นไปได้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว เหยียนเค่อก็คงไม่ทำให้ตัวเองถึงขนาดไม่มีข้าวจะกินหรอก ตอนนี้ก็แค่ให้เธอลองใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนั้นชั่วคราวเท่านั้น แต่เธอยังมีท่าทีแบบนี้ ไม่คำนึงถึงเหยียนเค่อเลยสักนิด
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอก” คุณแม่เหยียนตอบเสียงเย็น “เป็นผู้หญิงน่ะ ในอนาคตก็ต้องดูแลครอบครัว ไปทำงานก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนออกหน้าแทนสวีอิ๋งอิ๋ง แต่สวีอิ๋งอิ๋งรู้สึกว่าคุณแม่เหยียนไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาจากใจจริง กลับรู้สึกเหมือนเธอไม่รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนเลวอย่างไรอย่างนั้น จึงแสร้งหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “คุณน้าคะ ฉันอยากจะแสดงความสามารถของตัวเองให้เหยียนกรุ๊ปพัฒนาไปได้ดีขึ้นนะคะ แต่หนูแค่คิดว่ามาทำงานในตำแหน่งนี้แล้วจะแสดงความสามารถออกมาได้ไม่ดีเท่านั้นเองค่ะ”
ตอนนี้คุณแม่เหยียนไม่มีความกระตือรือร้นที่จะหาลูกสะใภ้ให้เหยียนเค่อเหมือนกับตอนแรกๆ แล้ว จะใช้สายตาที่แม่ผัวใช้ดูลูกสะใภ้นั้นมาใช้สวีอิ๋งอิ๋งไม่ได้จริงๆ จึงเอ่ยตอบ “ถ้าไม่พอใจก็ค่อยย้ายทีหลังแล้วกัน ไม่รู้ว่าช่วงนี้เจ้าเหยียนเค่อลูกบ้าคนนั้นทำอะไรอยู่ หายหัวทุกวันเลย”
“เขาไม่กลับบ้านครึ่งปีคุณยังไม่เห็นบ่นแบบนี้เลย พอตอนนี้กลับบ้านบ่อยขึ้นคุณดันบ่นซะงั้น” คุณพ่อเหยียนฟังจนปวดหูไปหมดแล้ว
ผู้ชายสองคนในบ้านต่างก็วางมาดเคร่งขรึม มีเพียงลูกชายคนเล็กที่ทำให้บรรยากาศในบ้านสดใสขึ้นมาได้ เธอไม่คิดถึงเขาก็แปลกแล้ว เมื่อนึกไปถึงลูกชายคนโตแล้วก็อดบ่นขึ้นมาไม่ได้ “เหยียนเฟิงบอกว่าจะลาพักร้อนแต่ไม่เห็นกลับบ้านเลย”
“เขาลาหยุดจะให้มาพักร้อนที่บ้านหรือไง ไม่เข้าใจเลย” คุณพ่อเหยียนไม่ไว้หน้าภรรยาของตนเลยสักนิด คุณแม่เหยียนโมโหจนไม่อยากเห็นหน้าเขา “น้าขอตัวไปดูในครัวก่อนนะ คุยกันไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ”
ตอนที่ 378 เข้ามาใกล้
สวีอิ๋งอิ๋งก็ไม่อยากอยู่นาน เดิมทีก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่เหยียนไม่พอใจมากพออยู่แล้ว ต่อให้เธอไม่อยากเป็นภรรยาของเหยียนเค่อ แต่เธอยังคิดอยากจะครอบครองเหยียนเฟิงอยู่นะ เธอจึงขอตัวกลับก่อนที่จะถึงมื้ออาหาร
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว เหยียนเค่อเหนื่อยมาทั้งวันก็อยากจะนอนแต่หัวค่ำ ฉินซื่อหลานรีบเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำของห้องรับแขกที่อยู่ติดกันในตอนที่เหยียนเค่ออาบน้ำอยู่ ก่อนจะมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มของเหยียนเค่อก่อนที่เขาจะอาบน้ำเสร็จ
เหยียนเค่อเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าในผ้าห่มของตนมีก้อนอะไรนูนออกมา จึงเดินเข้าไปใช้เท้าเตะหนึ่งที
“อื้อ!” ฉินซื่อหลานส่งเสียงอู้อี้ เหยียนเค่อถีบเข้าที่ก้นเขาอย่างเต้มแรง
“รีบไสหัวไปซะ” เหยียนเค่อปรายตามองคนที่นั่งขดตัวอยู่ในผ้าห่มของเขา รนหาที่ตายจริงๆ
ฉินซื่อหลานโผล่หัวออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจ “นายเตะฉันเลยเหรอ!”
เหยียนเค่อไม่อยากเสวนากับเขา จับทั้งตัวเขาและผ้าห่มโยนออกไปไว้ที่ห้องน้ำรับแขก ตอนที่ฉินซื่อหลานถูกโยนออกไปก็รู้สึกเจ็บใจซ้ำสอง ผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขากลับโดนเหยียนเค่อแบกออกมาโยนทิ้งไว้ข้างนอกแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนโดนทำลายเกียรติของตัวเอง
ถึงแม้ว่าสภาพห้องรับแขกจะไม่แย่นัก แต่จะสู้เตียงกว้างๆ ของเหยียนเค่อได้อย่างไรกันเล่า ฉินซื่อหลานคิดวางแผนจะวิ่งกลับขึ้นไปบนเตียงของเหยียนเค่ออีกครั้งโดยไม่ให้เขารู้ตัว
เหยียนเค่อนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก บวกกับช่วงนี้มีเรื่องราวประดังประเดเข้ามาค่อนข้างมาก ทำให้นอนหลับได้ไม่สนิทนัก แค่เสียงโทรศัพท์สั่นก็ทำเขาตื่นขึ้นมาได้
“ฮัลโหล”
[คู่หมั้นสุดที่รักของฉัน นายควรจะรายงานฉันหน่อยได้ไหมว่านายจะไปทำอะไรที่ไหนบ้าง]
เหยียนเค่อขมวดคิ้ว ไม่มีเบอร์ขึ้นโชว์ แต่ดูท่าแล้วน่าจะเป็นสวีอิ๋งอิ๋ง เขาวางสายไปทันที มาโทรหาเขาตอนดึกดื่นแบบนี้มันประสาทชัดๆ เขาปิดเครื่องแล้วโยนโทรศัพท์ไปไว้อีกด้าน เมื่อหันกลับมาก็เห็นร่างที่เลือนรางร่างหนึ่ง ทำเอาเขาตกใจจนสะดุ้ง
ฉินซื่อหลานโดนถีบร่วงไปกองที่พื้นอีกครั้ง เจ็บจนต้องร้องครวญครางออกมา “นายเบาแรงหน่อยได้ไหม!”
เหยียนเค่อได้ยินเสียงเขาที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ทำหน้าไม่ถูก “นายคิดจะทำอะไรอีก” เขายังกล้าแอบเข้ามาในห้องตนอีกงั้นเหรอ ทำให้ฉินซื่อหลานลำบากใจจริงๆ
“ถ้าไม่มีโรคจิตโทรมาหานายก่อนฉันก็ทำสำเร็จไปแล้ว” ฉินซื่อหลานยังเสียดายที่ตนล้มเหลวอยู่
เหยียนเค่อยิ้มอ่อน ต่อให้ไม่มีคนโทรมาเขาก็ตื่นเหมือนกันนั่นแหละ “คืนนี้นายคิดจะทำอะไรกันแน่”
ฉินซื่อหลานคลำขาที่ล้มกระแทกพื้นป้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิลงตรงข้างเตียง “อยากคุยกับนาย”
แค่คุยต้องมาคุยบนเตียงเขา ก็มีแค่ฉินซื่อหลานคนเดียวนี่แหละ
“ว่ามา” เหยียนเค่อเอื้อมมือไปกดเปิดแอร์ อากาศตอนกลางคืนเย็นเกินไปหน่อย
ฉินซื่อหลานทำท่าทางจริงจังได้ไม่ถึงสองนาที “นายให้ฉันไปนั่งพูดบนเตียงไม่ได้เหรอ”
“ฝันไปเถอะ” เหยียนเค่อยืนหยัดไม่ยอมถอย ดึงหมอนอิงบนหัวนอนแล้วโยนไปให้เขา “นั่งบนนั้นไปแล้วกัน”
ฉินซื่อหลานใช้หมอนอิงมารองก้นตัวเองอย่างรังเกียจ เตรียมตัวพูดคุยกับเหยียนเค่อท่ามกลางความมืดเช่นนี้แหละ
“วันนี้ฉันได้ยินความคิดของเสี่ยวฝูเอ๋อร์ที่มีต่อฉัน” ฉินซื่อหลานเริ่มบอกเล่าเรื่องทุกข์ใจ “เมื่อก่อนฉันไม่คิดว่าอายุจะเป็นปัญหาระหว่างเราสองคนมาก่อนเลย แต่เหมือนว่าเขาจะแคร์เรื่องนี้มาก”
“ก็ปกตินี่” คนนอกจะเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนที่สุด เหยียนเค่อตอบราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน “อายุไม่ได้ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างพวกนาย แต่ประสบการณ์ในแต่ละช่วงอายุต่างหากที่จะทำให้ระยะห่างระหว่างพวกนายมีมากขึ้นเรื่อยๆ”
“การที่ประสบการณ์ของฉันมากกว่าเขาไม่ดีเหรอ” ฉินซื่อหลานไม่เข้าใจ
“สมมตินะ คนอื่นอาจจะคิดว่านายเป็นผู้ชายที่คู่ควรกับเขาที่สุด แม้แต่นายก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่สำหรับเขาแล้ว เขาคุ้นเคยกับนายแค่คนเดียว ใครจะบอกว่าผู้ชายคนอื่นไม่เหมาะสมกับเขาล่ะ”นานๆ ทีเหยียนเค่อพูดเยอะขนาดนี้ เพราะว่าเขาเองก็ว่างๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินซื่อหลานที่ไม่เคยยอมรับว่าคิดไม่ซื่อกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ แต่ตอนนี้กลับวิ่งแจ้นมาถามเขาด้วยแล้ว