ตอนที่ 389 พูดเปิดใจ
ช่วงนี้เหยียนเค่ออารมณ์ดีไม่น้อย จึงฟังสวีอันหรานพูดต่ออย่างสนอกสนใจ “แล้วนายกลัวอะไรล่ะ คนก็เป็นคนที่นายต้องการ งานแต่งนายก็กำหนดเอง ไม่มีศัตรูหัวใจที่ไหน มีอะไรให้กลัว”
สวีอันหรานเคาะไปที่นิ้วของเหยียนเค่ออย่างไม่ใส่ใจนัก เห็นว่าเหยียนเค่อไม่ได้เก็บมือกลับไปก็ได้คืบจะเอาศอก “ฉันก็คิดว่า ถ้าหลังแต่งงานแล้วทะเลาะกันจะทำยังไง ถ้าวันไหนเขาไม่อยากสนใจฉันแล้วจะทำยังไง ถ้าต่อไปเรามีลูกกันแล้วจะทำยังไง ถ้าเรามารู้ทีหลังว่าเราไม่เหมาะกันจะทำยังไง”
เขาเอาแต่พูดคำว่า ‘จะทำยังไง’ ออกมาเป็นชุด ทำเอาเหยียนเค่อถึงกับปวดหัว
“แล้วนายคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่พวกนายจะเหม็นขี้หน้ากัน อดทนกันไม่ไหวไหม”
“ไม่รู้สิ” สวีอันหรานปวดหัวจริงๆ พอผ่านพ้นช่วงวัยคึกคะนอง ไม่สนใจไยดีทุกสิ่งไปแล้ว ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ดิ้นรนเพื่อความรักมากมายขนาดนั้นแล้ว
“แล้วช่วงนี้นายกับสวีรั่วชีเป็นยังไงบ้าง อยู่ด้วยกันดีไหม ปรับตัวได้หรือยัง”
สวีอันหรานพยักหน้า “เราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้ว ปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว แต่ฉันกลัวว่าพอหมดช่วงข้าวใหม่ปลามันไปแล้วเราสองคนจะเบื่อที่จะอยู่ด้วยกันต่อไป”
ถ้าขอความเห็นจากเหยียนเค่อ การที่คิดเรื่องพวกนี้อย่างจริงจังก็แสดงว่าสวีอันหรานเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ อย่างน้อยก็รับผิดชอบต่อสวีรั่วชี เขาดึงมือตัวเองออก “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงเวลาเดี๋ยวก็จัดการปัญหาได้เองแหละน่า ตอนนี้นายคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ตราบใดที่นายมีความคิดนี้ ก็แสดงว่านายยังรักสวีรั่วชีอยู่”
สวีอันหรานเคาะโดนพื้นโต๊ะแข็งๆก็เบ้ปากแล้วเก็บนิ้วกลับบ้าง “ฉันรักเสี่ยวชี แต่เรื่องของนาคตฉันสับสนมากจริงๆ”
เหยียนเค่อเหลือบตามองเขา เขาจำได้ว่าสมัยมอต้นไอ้หมอนี่เขียนแผนการในอนาคตไว้หมดแล้วแท้ๆ ตอนนี้ยังจะมากลุ้มใจอะไรอีก
สวีอันหรานรับรู้ได้ถึงความหมายในดวงตาของเขา จึงถอนหายใจออกมาเศร้าๆ “ก็ในแผนของฉันไม่มีสวีรั่วชีด้วยนี่นา” ตอนนั้นเขายังไม่เคยคิดเลยว่าน้องสาวไม่แท้ของตนคนนี้จะกลายมาเป็นคนที่จะใช้ชีวิตที่เหลือไปพร้อมกับตน
เหยียนเค่อพยักหน้าเข้าใจ “งั้นตอนนี้วางแผนก็ยังไม่สายเกินไปหรอก ชีวิตต้องเดินต่อไป ถ้าวันนี้นายกลุ้ม พรุ่งนี้นายก็ต้องกลุ้มต่อไปเหมือนเดิม”
สวีอันหรานเองก็รู้ เขาก็ไม่ได้กลุ้มมากนักหรอก ก็แค่เห็นเหยียนเค่อแล้วก็อดกลุ้มใจไม่ได้ “ทำไมตอนนายย้ายไปอยู่กับซย่าเสี่ยวมั่วถึงไม่มีประสบการณ์แบบฉันนะ”
เหยียนเค่อยิ้มกวนประสาท “ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นเด็กดีจะตาย เขาจะกล้าทะเลาะกับฉันได้ยังไง”
สวีอันหรานเงียบไป นี่มันคำพูดไร้สาระชัดๆ ใครกันที่โดนซย่าเสี่ยวมั่วโมโหใส่แถมยังพูดไม่ออกอีกต่างหาก
เหยียนเค่อเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากระแอมขึ้น “นายต้องทำให้สวีรั่วชีขาดนายไปไม่ได้ ขอแค่มีเรื่องเดียวที่ขาดนายไปไม่ได้ พวกนายก็จะไม่มีทางแยกจากกัน”
“เสี่ยวชีของฉันดูแลตัวเองได้ถึงขนาดใช้ชีวิตอยู่บนเกาะร้างแล้วไม่มีปัญหา เขาไม่ต้องการฉันเลยก็ยังได้”
“จะเอานายไปทำไม” เหยียนเค่อมองเขาอย่างเหยียดหยาม “ไม่มีอะไรที่กลัวเลยเหรอ”
“ไม่มี ขนาดศพในฟอร์มาลีนยังไม่กลัวเลย จะไปกลัวคนเป็นๆ ในโลกใบนี้ได้อย่างไร” สวีอันหรานบีบหน้าตัวเองอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ เด็กน่ะควรจะจับตัวไว้ตั้งแต่ยังเล็กๆ ถ้าตอนเด็กไม่สอนสวีรั่วชีเยอะขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ
เหยียนเค่อเองก็จนปัญญา “แต่ซย่าเสี่ยวมั่วมีของที่กลัวเยอะเลย ของที่ชอบก็เยอะเหมือนกัน”
เขาคิดว่าปัญหาของสวีอันหรานข้อนี้ไม่มีความจำเป็นอะไรให้ต้องพูดคุยกันต่ออีก ถึงแม้ว่าสวีอันหรานจะช่วยเหลืออะไรสวีรั่วชีไม่ได้เลย แต่สวีอันหรานหลอมรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของสวีรั่วชีแล้ว จะไม่โดนสวีรั่วชีตัดออกไปตลอดชีวิตแน่นอน
ตอนที่ 390 เป็นบุญตา
“เฉินเจวี้ยนยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า” สวีอันหรานรู้ว่าเหยียนเค่อไม่มีความรู้สึกร่วม จึงนึกไปถึงอีกคนที่พอจะพูดคุยกันได้
เหยียนเค่อเหลือบตามองคนที่เอนเอียงไปหาฝ่ายศัตรู ก่อนจะถือเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปทันที
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งไปสิ!” สวีอันหรานเดินตามไป ก่อนจะพาดแขนบนบ่าของเหยียนเค่ออย่างสนิทสนม
เหยียนเค่อสะบัดแขนเขาออก “ไปหาเอง”
ตายแน่ๆ…ตายแน่ๆ สวีอันหรานส่ายหัว จึงหยุดแล้วเดินตามหลังเหยียนเค่อออกนอกประตูไป
นับว่าเป็นบุญตาของสาวๆ ในห้องทำงานชั้นหนึ่ง ที่ได้เห็นบอสทั้งสองคนปรากฏตัวในห้องโถงบริษัทพร้อมกันแบบนี้
“ว้าว ประธานเหยียนดูน่าเกรงขามจัง”
“ประธานสวีดูอ่อนโยนจังเนอะ”
“พวกเขาคบกันแล้วเหรอ ถึงบอกให้พนักงานในบริษัททุกคนรับรู้แบบนี้”
พนักงานทุกคนชื่นชมใบหน้างดงามของเจ้านายทั้งสองคนไปพลางคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ สุดท้ายก็ได้บทสรุปออกมาทั้งน้ำตาว่า ‘ประธานเหยียนกับประธานสวีใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว’
สวีอันหรานเข้าใจในสายตาของผู้คนรอบด้าน สายตาแบบนี้สวีรั่วชีกับซย่าเสี่ยวมั่วก็เคยเผยมันออกมาให้ได้เห็น ท่าทางสาววายจะมีอยู่ทุกที่จริงๆ กล้าจินตนาการเขากับเหยียนเค่อได้อย่างไร
เขาสาวเท้าเข้าไปดึงแขนเสื้อของเหยียนเค่อไว้แล้วเอ่ยเยาะเย้ย “กำเริบเสิบสานนัก”
เหยียนเค่อหันไปมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อที่ถูกเขาดึงไว้ออกอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วเอ่ยหยอกล้อ “รู้ไหมว่าไอ้นั่นข้างล่างของฉันคือใคร”
“ไสหัวไปเลย หน้าไม่อาย” สวีอันหรานทุบไหล่เขาไปหนึ่งที ก่อนจะเดินเคียงกันออกนอกประตูใหญ่ไป
พนักงานที่ไม่ได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันก็เริ่มพากย์เสียงเองโดยอัตโนมัติ จนเรื่องนี้ลือไปทั่วทั้งบริษัท แม้แต่คุณป้าแม่บ้านก็ยังรับรู้เรื่องราวนี้ในหลากหลายเวอร์ชั่น
สวีรั่วชีเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยอยู่นาน สุดท้ายก็อาศัยความฉลาดพาตัวเองเข้าไปได้
ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนตรงหน้าประตูอยากจะร้องไห้ ภรรยาของประธานสวีองอาจเกินไปแล้ว กล้ามาข่มขู่พวกเขาด้วย
สวีรั่วชีเดินเล่นอยู่ข้างนอกรอบหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นได้ บอดี้การ์ดที่เหยียนเค่อส่งมานั่น เขาต้องให้ซย่าเสี่ยวมั่วรู้ไม่ได้อย่างแน่นอน…
เธอจึงพูดกับผู้ชายหน้านิ่งทั้งสองอย่างหน้าไม่อายว่า “ถ้าพวกคุณไม่ให้ฉันเข้าไป ฉันจะบอก
ซย่าเสี่ยวมั่วว่าเหยียนเค่อส่งคนมาขังเขาเอาไว้ พวกคุณก็เตรียมตัวโดนเหยียนเค่อเล่นงานได้เลย”
หนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองมองหน้ากัน ประธานเหยียนได้บอกไว้จริงๆ ว่าห้ามให้คุณซย่ารู้ตัวว่ามีพวกเขาอยู่ แต่ก็บอกไว้เช่นกันว่าห้ามให้สวีรั่วชีเข้าไป ทั้งสองคนลังเลเป็นอย่างมาก โทรหาเหยียนเค่อก็ไม่มีคนรับสาย สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เขาเข้าไป
สวีรั่วชียิ้มร้าย เด็กโง่พวกนี้ ถ้าปล่อยเธอเข้าไปแล้วความลับรั่วไหลแน่นอนจ้า
“ที่รักจ๋า ฉันข้ามภูเขาข้ามน้ำทะเลมาหาเธอแล้วจ้า!”สวีรั่วชีกอดซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่บนเตียง
ซย่าเสี่ยวมั่วสะดุ้งจนเผลอตวัดลากเส้นสีแดงยาวบนใบหน้าของชายหนุ่ม เธอจ้องเส้นสีแดงนั่นเขม็ง รู้สึกอยากฆ่าคน
สวีรั่วชีเห็นเธอนิ่งไป เมื่อก้มมองก็เห็นผลงานที่บกพร่องบนกระดานวาดรูป จึงค่อยๆ คลายมือออกอย่างกระอักกระอ่วน “แหะๆ แค่เจอฉันแค่นี้ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้”
ซย่าเสี่ยวมั่วโยนปากกาไปไว้อีกทาง “เธอมาทำไม”
“จะบอกให้นะ กว่าฉันจะเข้ามาหาเธอได้นี่ต้องเสียแรงไปเยอะมากเลยนะ” สวีรั่วชีเริ่มเอาความลับเรื่องชายหนุ่มสองคนที่หน้าห้องออกมาขาย
ซย่าเสี่ยวมั่วยกมือขึ้นขัดจังหวะ “ฉันไม่อยากฟัง” เธอนึกว่าสวีรั่วชีต้องเริ่มเล่าว่ากว่าสวีอันหรานจะยอมปล่อยตัวเธอมากอย่างไรแน่นอน จึงปฏิเสธการต้องมารับรู้ความสวีตนี้อย่างเด็ดขาด
“เธอรู้แล้วเหรอ” สวีรั่วชีถามอย่างประหลาดใจ ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้นี่นา
ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า เธอไม่รู้หรอก แต่เธอแค่ไม่อยากฟัง
“แล้วเธอเป็นอะไร” สวีรั่วชีกลับมาทำหน้าเย็นชาอีกครั้ง มองซย่าเสี่ยวมั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เข่ากระแทกน่ะ แต่หายแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วอธิบายสั้นกระชับ ได้ใจความ
สวีรั่วชีทนไม่ไหวกับซย่าเสี่ยวมั่วในโหมดเย็นชาเช่นนี้ จึงยื่นมือออกไปจิ้มเธอ “ทำไมเธอทำนิสัยแบบนี้ล่ะ เมื่อก่อนให้เธอเย็นชาก็ไม่ทำ ตอนนี้จะมาเก๊กอะไร”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ตอบ ชีวิตขมขื่นหลังจากออกโรงพยาบาลไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป ตอนนี้ขอเศร้าใจสักหน่อย กลับบ้านไปจะได้มีแรงไปใช้ชีวิตอย่างหน้าด้านต่อไป!