ตอนที่ 405 เรียกคืนความมั่นใจ
สวีอันหรานสงสัยว่าเหยียนเค่อหลอกเขา ไม่เห็นว่าวอลล์เปเปอร์นั่นจะมีตรงไหนที่แตกต่างออกไปเลย และก็ไม่มีแสงสะท้อนด้วย
สวีรั่วชีพูดไปหลายคำ แต่กลับพบว่าคนข้างกายนั้นนอกจากครางรับแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเธอเลย
“สวีอันหราน”
“หืม?” สวีอันหรานครางรับด้วยน้ำเสียงงุนงง เมื่อรู้สึกตัวก็คราง ‘อืม’ กลับมาอีกครั้ง “ทำไมเหรอ”
“เมื่อวานพี่กับเหยียนเค่อไปทำอะไรกัน ทำไมพอกลับมาถึงทำตัวแปลกๆ ล่ะ” สวีรั่วชีรู้สึกแปลกประหลาด
ตอนนี้สวีอันหรานกลัวการที่สวีรั่วชีเรียกชื่อเขาแบบเต็มยศเอามากๆ ปกติเวลาอารมณ์ดีเธอจะเรียกว่า ‘พี่’ แต่ถ้าจู่ๆ ก็โพล่งคำว่า ‘สวีอันหราน’ ออกมาเมื่อไร นั่นก็แสดงว่าเขาทำให้เธอไม่พอใจเข้าเสียแล้ว
“พวกเราจะทำอะไรกันได้ล่ะ” สวีอันหรานไม่เข้าใจความหมายของเธอ “ก็แค่คุยกัน แล้วก็ช่วยเขา”
“อ๋อ” สวีรั่วชีก็ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างออกไป รู้สึกแปลกๆ เท่านั้น
ความสนใจของสวีอันหรานไม่ได้อยู่ตรงนี้ ทำให้ไม่พบว่ามีอะไรผิดแผกไป เขายังคงนั่งสะสางงานอยู่ แต่ก็อาศัยจังหวะที่สวีรั่วชีไม่สังเกต ลอบมองไปทางผนังห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรเลย
“ฉันไปนอนกลางวันก่อนนะ” สวีรั่วชีก็ไม่รู้ว่าตนมานั่งอยู่ข้างเขาทำไม เธอมองเอกสารและแนวคิดการเล่นหุ้นที่เหมือนกันกับของตน เมื่อก่อนตอนดูยังรู้สึกว่าพวกเขาช่างใจตรงกัน แต่ตอนนี้พอดูและคาดเดาได้ว่าขั้นต่อไปต้องเป็นแบบไหนแล้วก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา
“อืม พักผ่อนซะนะ” สวีอันหรานยังคงไม่หยุดทำงานในมือ รอให้เธอไปนอนกลางวันก่อน เขาจะได้เข้าไปดูให้ละเอียดหน่อย
สวีรั่วชีลอบถอนหายใจ อาจจะเป็นเพราะว่าได้มาแล้วจึงทำให้ไม่รู้จักพอ เมื่อก่อนก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้พอสวีอันหรานไม่อยู่เคียงข้าง เธอก็จะคิดมากไปต่างๆ นานา คิดว่าเขาไม่รักตนแล้วใช่ไหม ไปรักคนอื่นแล้วใช่หรือเปล่า
ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ดีว่าปัญหาพวกนี้มันไร้สาระ แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี
บางทีสัมผัสที่หกและความไวต่อความรู้สึกของผู้ชายอาจจะช้ากว่าผู้หญิงไปก้าวหนึ่ง ทำให้
สวีอันหรานไม่รู้สึกถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่เลยสักนิด
เมื่อสวีรั่วชีเข้าไปนอนแล้ว สวีอันหรานก็รีบโทรศัพท์หาเหยียนเค่อทันที
“ฮัลโหล”
“อยู่ตรงไหน ทำไมฉันไม่เห็น” สวีอันหรานรีบถามขึ้นอย่างร้อนใจ
เสียงพลิกกระดาษแซ่กๆดังลอดมาจากปลายสาย สวีอันหรานเอ่ยเร่ง “หยุดดูก่อน แล้วรีบบอกฉันมา”
เหยียนเค่อไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องอยากได้ความสบายใจขนาดนั้นด้วย ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีก็พอแล้วนี่ ทำไมต้องไปหาหลักฐานมายืนยันด้วย
“วอลล์เปเปอร์ตรงข้างซ้ายของทีวีน่ะ หาตรงที่มันมืดๆ หน่อย”
สวีอันหรานยกมือขึ้นลูบ ลูบคลำอยู่นานก็พบลายเส้นที่เรียบลื่นกว่าบริเวณโดยรอบ ใช้มือลูบไปตามลายเส้นที่เขียนอยู่ด้านบนแล้วก็พบว่ามีชื่อของตนอยู่บนนั้น
“ฮือ ฉันหาเจอแล้ว” สวีอันหรานยิ้มราวกับคนบ้า “ฮิๆๆ”
“อย่ามาทำตัวติงต๊องแถมนี้ วางแล้วนะ” ก่อนที่เหยียนเค่อจะวางสายก็เอ่ยย้ำเตือนขึ้นอีกครั้ง “ห้ามพูดว่าฉันเป็นคนบอกนะ”
“ครับๆๆ” สวีอันหรานรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงต้องอยากได้ความสบายใจด้วย ทั้งๆ ที่แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวในตอนนี้ก็ทำให้เขามีมั่นใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงอย่างเต็มเปี่ยมแล้วแท้ๆ
“ทำอะไรน่ะ” สวีรั่วชีที่ใกล้จะเคลิ้มหลับกลับถูกมือของสวีอันหรานที่กดทับอยู่บริเวณไหล่ปลุกให้ตื่นขึ้นมา
สวีอันหรานกระชับแขนกอดเธอไว้ไม่ปล่อย “ฉันมานอนเป็นเพื่อนเธอไง”
“ใครเขาขอล่ะ ออกไปเลย” สวีรั่วชีขยับตัว
“อย่าขยับสิ อยู่เฉยๆ” สวีอันหรานขยับออกมาเล็กน้อย แต่ยังคงกอดสวีรั่วชีอยู่ “นอนเถอะ”
สวีรั่วชีไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก แต่พระอินทร์กำลังกวักมือเรียกอยู่รำไรจึงไม่ได้ซักไซ้ต่อ สุดท้ายก็หลับไปในอ้อมแขนของเขา
ตอนที่ 406 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง
เหยียนเค่อยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองก็ทำเรื่องดีๆ กับเขาเป็นด้วย ทั้งๆ ที่คติประจำใจเมื่อก่อนนี้คือ ‘จับแยกให้หมดทุกคู่’ ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะว่าอายุมากแล้วก็อยากจะสะสมความดีไว้บ้าง หวังว่าชีวิตครอบครัวในอนาคตจะมีความสุขสมบูรณ์ อย่างน้อยก็อย่าเป็นเหมือนพ่อกับแม่เขาเลย
เหยียนเฟิงสืบค้นข้อมูลใดๆ ของเบลล์ไม่เจอเลย แม้แต่เครื่องมือสื่อสารทุกอย่างที่เบลล์เคยใช้เมื่อก่อนหน้านี้ก็หายไปราวกับสูญสลายไปจากโลกใบนี้ ไม่มีแม้แต่ประวัติการใช้งานบันทึกไว้เลยสักนิด
เข้าหาคนที่มีความสามารถเช่นนี้ในตอนที่เขาไม่รู้ หรือว่าเพิ่งจะเจอในวันที่เธอมาลาออกกันนะ
เหยียนเฟิงลูบคางแล้วขบคิดอย่างละเอียด ปัญหาที่ไม่มีค่าอะไรสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเหยียนเฟิงนั้นนี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง
เขารับได้หากคนคนหนึ่งเลือกที่จะจากไปในตอนที่จนตรอก แต่เขารับไม่ได้หากใครคนนั้นทรยศหักหลังเขาเพราะจุดประสงค์อื่น แต่หลักฐานทั้งหมดในตอนนี้ ราวกับกำลังบ่งชี้ว่าเบลล์ทรยศเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่กับตนแล้ว
นอกจากคนที่รู้จักกันมานานแล้ว เขาก็นึกไม่ออกว่าใครจะพยายามทุ่มเทเพื่อเธอมากขนาดนี้
หญิงสาวสองสามคนที่กุเรื่องมาพูดเสียดสีเบลล์ในห้องชงกาแฟต่างก็ถูกสอบสวนและไล่ออกทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขาทำลงไปนั้น ราวกับไม่เคยมีใครคิดจะสนใจมาก่อน หรือจะบอกได้ว่า คนที่ควรสนใจนั้นไม่อยู่แล้วต่างหากล่ะ
ความจริงแล้วสิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่กันแน่ เหยียนเฟิงก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ก็เหมือนกับที่เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดอย่างไรกับเบลล์
รายชื่อของลูกสาวผู้มีอิทธิพลที่อายุอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมที่จะแต่งงานซึ่งเบลล์เขียนขึ้นมาด้วยตัวเองวางอยู่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ สายลมโชยพัดกระดาษเหล่านั้นให้ปลิวขึ้นราวกับกำลังกระซิบบอกคำอะไรสักอย่าง แต่กลับเอนกลับไปตามเดิมราวกับไม่รู้ว่าควรใช้คำพูดไหนมาอธิบาย
เมื่อถึงวัยที่ต้องสร้างครอบครัว ชีวิตที่เฝ้าปรารถนาลบเลือนความคิดเพ้อฝันอันบางเบาไปทีละนิด สิ่งที่เหลือไว้มีแค่เพียงความเป็นจริงอันหนาแน่นเท่านั้น
ซย่าเสี่ยวมั่วว่าจะทำอาหารกินเอง แต่ในตู้เย็นไม่มีวัตถุดิบเหลือเลย จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากฉินซื่อหลาน
“นายพาฉันไปซื้อของหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ เธอจะลงครัวเหรอ” ฉินซื่อหลานเจอสิ่งที่จะเอาไปอวดเหยียนเค่อได้แล้ว
ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือตัวเองนานแล้ว รู้สึกคิดถึงขึ้นมานิดหน่อยน่ะ”
ดังนั้นทั้งคู่จึงออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ตด้วยกันในตอนเที่ยง
ซย่าเสี่ยวมั่วมองคนข้างกายแล้วอยากจะถอนหายใจ เมื่อคราวที่แล้วยังมากับเหยียนเค่ออยู่เลย แต่ครั้งนี้กลับเป็นฉินซื่อหลานเสียอย่างนั้น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วจริงๆ สินะ สิ่งของยังเหมือนเดิม แต่คนนั่นเองที่เปลี่ยนไป
ฉินซื่อหลานไม่รู้สึกถึงอารมณ์ที่จมดิ่งของซย่าเสี่ยวมั่ว หยิบของที่ตัวเองชอบใส่ลงในรถเข็นไม่หยุด
ซย่าเสี่ยวมั่วกวาดตามองสินค้าถุงเล็กถุงใหญ่ในรถแล้วก็เอ่ยเตือนอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ต้องซื้อเยอะขนาดนั้น กินไม่หมดหรอก”
“ทำไมจะกินไม่หมด” ฉินซื่อหลานไม่ฟัง หยิบของต่อไป
ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่สนแล้วว่าฉินซื่อหลานจะซื้ออะไร อย่างไรเสียเธอก็พูดไปแล้ว แต่จะฟังหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เหยียนเค่อมาเป็นเพื่อนเธอก็มักจะยืนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่ยื่นมือเข้ามาร่วมด้วยเลยสักนิด นอกเสียจากของที่อยากกินเป็นพิเศษแล้วก็ไม่ออกความเห็นอะไรอีก แต่นายฉินซื่อหลานนี่สิ เข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วมีความสุขยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ทำไมเธอไม่ซื้อล่ะ ซื้อให้เต็มที่เลย ไม่ต้องช่วยฉันประหยัดเงินหรอกน่า” ฉินซื่อหลานเห็นว่าซย่าเสี่ยวมั่วเดินตามอยู่ด้านหลังตนโดยไม่ซื้ออะไรเลย
แน่นอนว่าซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้คิดจะช่วยเขาประหยัดเงินอยู่แล้ว เพียงแต่พอเดินผ่านอะไรก็เป็นสิ่งที่ฉินซื่อหลานซื้อไปหมดแล้ว เธอก็ไม่อยากซื้อเพิ่มอีก จึงทำได้เพียงยืนมองเฉยๆ
“ไปเถอะๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วทนไม่ไหวแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่มีแม้แต่ทักษะการใช้ชีวิตเลย ซื้อของเยอะขนาดนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราอีก จำต้องเร่งให้เขารีบกลับ
“พอแล้วเหรอ” ฉินซื่อหลานไม่มีประสบการณ์แบบนี้จริงๆ นั่นล่ะ เขาทำอาหารได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มาซื้อวัตถุดิบที่ซูเปอร์มาเก็ตเอง
“ก็ใช่น่ะสิ” มองจากคุณภาพในการซื้อผักแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็ดูออกทันทีว่าฉินซื่อหลานทำอาหารเป็น จำนวนผักแต่ละชนิดที่ไม่เยอะจนเกินไป แต่ชนิดของผักนั้นหลากหลาย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือฉินซื่อหลานบอกชื่อของผัก ชื่อปลาแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ และสามารถบอกได้อีกด้วยว่าเป็นเนื้อส่วนไหนของหมู
นี่น่าจะเป็นวันที่ซย่าเสี่ยวมั่วได้ความรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตมากที่สุดวันหนึ่งหลังจากเรียนจบมอปลายมาเลยล่ะ