ตอนที่ 411 ธรรมชาติของหมอ
ฉินซื่อหลานอยู่บ้านซย่าเสี่ยวมั่วไปยอมกลับไปสักที ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่กล้าไล่เขา ทำได้เพียงเอ่ยอย่างอ้อมค้อม “หรือว่านายอยากจะอยู่กินข้าวเย็นอีก?”
“ก็ได้นะ ความจริงให้ฉันทำก็ได้”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ชินกับการให้ผู้ชายเข้าครัว จึงวางกระดานวาดรูปในมือลงก่อนจะเอ่ย “ช่างเถอะๆ เดี๋ยวฉันทำเอง”
ฉินซื่อหลานนั่งมาทั้งวันแล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงลุกขึ้นเดินตามเธอไปในครัว
“นายต้องตามฉันมาด้วยเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้ว
ฉินซื่อหลานพยักหน้า “ฉันไม่อยากกินอาหารไร้โภชนาการเหมือนตอนเที่ยงแล้ว”
ไม่มีผักแปลว่าไม่มีโภชนาการเหรอ ซย่าเสี่ยวมั่วคิดถึงเมื่อตอนเที่ยงที่กินเนื้อเข้าไปเยอะมาก ก็รู้สึกสงสารพวกมันขึ้นมานิดหน่อย
เธอมั่นใจแล้วว่าถ้าต่อไปต้องนัดบอดจะไม่เลือกผู้ชายที่เป็นหมอเด็ดขาด บางคนอาจจะรู้สึกว่าหมอเอาใจใส่แถมมีความรู้เยอะ แต่สำหรับซย่าเสี่ยวมั่วแล้ว นั่นเป็นเหมือนอุปสรรคในชีวิตของเธอเลย
เมื่อกี้เธอนั่งบนพื้น ฉินซื่อหลานก็บอกว่าพื้นมันเย็นเกินไป ร่างกายของผู้หญิงแต่เดิมก็เป็นธาตุ
หยินอยู่แล้ว ถ้านั่งบนพื้นความเย็นจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากนั่งเรียนวิชาแพทย์เลยสักนิด เธอยังคงนั่งอยู่ที่พื้นตามเดิม แต่ฉินซื่อหลานก็เอ่ยคำพูดนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งด้วยรูปแบบที่แตกต่างออกไป เธอทนไม่ไหวจึงต้องวิ่งไปนั่งวาดรูปต่อบนเก้าอี้เม็ดโฟมที่ตั้งอยู่ข้างๆ
เมื่อนั่งแช่เกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว ฉินซื่อหลานก็เดินมาเตือนเธออีก “เธอควรจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายได้แล้ว”
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังวาดรูปอย่างเมามัน ถูกเขาขัดจังหวะขึ้นก็สะดุ้งตกใจ รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก
เธอล่ะคิดถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหยียนเค่อแบบเงียบสงบจริงๆ ทำไมฉินซื่อหลานถึงจุ้นจ้านขนาดนี้นะ
“นายเลิกตามฉันมาได้แล้ว ช่วงนี้ฉันเห็นนายบ่อยจนเอียนแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วรำคาญใจสุดขีด เธอได้จัดอันดับให้ฉินซื่อหลานอยู่ในตำแหน่งเดียวกับแม่ของเธอแล้ว
ฉินซื่อหลานก็รับรู้ถึงปัญหาข้อนี้ หรือว่าช่วงนี้เขาจะใส่ใจเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไม่พอ ทำไมต้องเอาความห่วงใยนั้นมาให้ซย่าเสี่ยวมั่วด้วย
“เธอรู้สึกว่าฉันน่ารำคาญมากเลยใช่ไหม” ฉินซื่อหลานก็พูดออกมาตามตรง
แต่ซย่าเสี่ยวมั่วตรงไปตรงมายิ่งกว่า เธอพยักหน้า “ใช่ ฉันรู้สึกว่าวัยทองของนายมาก่อนวัยอันควรนะ”
“เหอะๆ มีความรู้หรือเปล่าเนี่ย” ฉินซื่อหลานอยากจะใช้หลักการมาโต้เถียงกับเธอ แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ท่าทางนอกจากเสี่ยวฝูเอ๋อร์แล้ว เขาทนไม่ได้หากใครจะใช้ศัพท์ทางการแพทย์มั่วซั่ว หรือมีความเคยชินในการใช้ชีวิตที่ย่ำแย่
“เฮ้อ มีแฟนแบบนายคงเหนื่อยแย่” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดออกมาจากใจ
สำหรับคนอื่นแล้ว ฉินซื่อหลานก็เป็นดอกไม้งามบนภูเขาสูงที่ยากจะเอื้อมถึง เข้าไปคุยด้วยสักประโยคสองประโยคยังยาก แต่สำหรับคนสนิทด้วยนั้น เขาไม่เพียงแสดงธรรมชาติของแพทย์ออกมาจนหมดเท่านั้น ยังละเอียดรอบคอบจนทำให้คนหมดคำจะพูดอีกต่างหาก
ฉินซื่อหลานก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้หรอก เพียงแต่เสี่ยวฝูเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายจนไม่ต้องพูดอะไรเลย ส่วนเหยียนเค่อก็ดื้อด้านมากเกิน พูดอะไรไปก็ไม่ฟัง ดังนั้นเขาจึงต้องเอานิสัยนี้มาใช้กับซย่าเสี่ยวมั่ว เขาก้มหน้าลง “เธอก็เข้าใจฉันหน่อยแล้วกัน ฉันจะพยายามปรับปรุงนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ตำหนิเขา หรือไม่ชอบใจแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะน่ารำคาญจริงๆ ก็เถอะ…แต่ที่เขาทำไปก็เพื่อเธอทั้งนั้น เป็นคนก็ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดีเหมือนกัน
“ตอนที่เหยียนเค่ออยู่กับเธอก็ปล่อยให้เธอทำแบบนี้เหรอ” ฉินซื่อหลานอดค่อนแคะไม่ได้ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งบนพื้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายแรง
ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ จึงตวัดตามองหนึ่งที “เกี่ยวอะไรกับนาย”
“ถึงแม้ว่าเหยียนเค่อจะไม่ชอบความคิดตายตัว แต่ตัวเขาก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกันนะ”
“เหอะๆ เขานอนอาบแดดบนโซฟาของฉันแล้วเล่นกับหมาไปด้วยบ่อยจะตายไป” ซย่าเสี่ยวมั่วปวดกบาล นี่มันเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานหรืออย่างไรนะ จ้องจับผิดรายละเอียดยิบย่อยไม่ปล่อยวาง เธอล่ะทนผู้ชายแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ
ฉินซื่อหลานอ่านสีหน้าของเธอออก มองตู้ด้านบนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เขาลืมบอกซย่าเสี่ยวมั่วไปว่าตนก็เคยเรียนจิตวิทยาความผิดทางอาญาด้วย ดังนั้นทุกสีหน้าที่ซย่าเสี่ยวมั่วแสดงออกมานั้นเขาก็สามารถแปลความหมายออกมาได้อย่างแม่นยำ
ตอนที่ 412 นิสัยตรงข้ามกัน
“กินเสร็จแล้วนายก็กลับเถอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วนึกถึงคำโบราณว่าไว้ “สาวโสดอย่างฉันไม่อยากให้นายอยู่ค้างคืนที่นี่”
“ถึงเธอให้ฉันอยู่ฉันก็ไม่อยู่หรอก ฉันเป็นคนรักษากฎเกณฑ์” ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวฝูเอ๋อร์ยังรอให้เขากลับบ้านไปให้อาหารอยู่นะ
อย่างไรคนที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโตก็เอาอกเอาใจมากกว่า ใครจะเหมือนซย่าเสี่ยวมั่ว แค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเธอก็ทำให้ฉินซื่อหลานปวดใจไปได้ทั้งวัน
“ฉันคิดว่าระหว่างคู่รักควรให้ความสำคัญกับเรื่องวาสนา ระหว่างเพื่อนฝูงก็ควรให้ความสำคัญกับความประทับใจแรก” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่หวังว่าจะมีวาสนาต่อฉินซื่อหลาน จึงเอ่ย “ความประทับใจแรกของเราก็ไม่เลวเหมือนกันนะ แต่ก็สิ้นสุดลงที่ครั้งแรกนั่นแหละ”
“งั้นฉันคงตาบอดตั้งแต่ครั้งแรกเลยสินะ” ฉินซื่อหลานจิ้มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง นี่ต้องเป็นซี่โครงที่
เหยียนเค่อชอบกินแน่นอน
ฝีมือทำอาหารของซย่าเสี่ยวมั่วดีเลิศก็จริง แต่สำหรับคนที่ไม่ได้กินผักแล้วจะเป็นจะตายอย่าง
ฉินซื่อหลานแล้วเขารับไม่ได้จริงๆ
ฉินซื่อหลานสนใจงานอดิเรกอันหลากหลายของซย่าเสี่ยวมั่วมากขึ้น จึงเกิดความสงสัยเวลาที่ของสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน “ตอนพวกนายอยู่ด้วยกันก็ไม่กินผักเหรอ”
กินสิยะ ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตามองเขา เธอจะใจดีทำอาหารอร่อยๆ แค่บางครั้งเท่านั้นแหละ แต่ดันมาเจอชายที่ไม่มีผักกินแล้วไม่มีความสุขอย่างฉินซื่อหลานเสียอย่างนั้น
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงผอมมาก” ถึงรูปร่างของฉินซื่อหลานจะไม่ได้ผอมมากนัก แต่มองปราดเดียวก็ดูเป็นผู้ชายมีความรู้ที่รูปร่างผอมบาง แต่เมื่อสวมชุดสูทแล้วก็ดูสง่า แตกต่างกับพวกสวีอันหรานโดยสิ้นเชิง
“ความผอมของฉันอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกตินะ”
“ปกติแบบเฉียดฉิวสินะ” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดขัดเขา
คนที่คุยกันไม่ถูกคอ พูดแค่ครึ่งประโยคก็มากไปจริงๆ ฉินซื่อหลานยอมรับไปโดยปริยาย “ความจริงฉันกับพวกเหยียนเค่อก็หนักพอกันนะ”
“เหอะๆ” นักวาดอย่างซย่าเสี่ยวมั่วสามารถคุยเรื่องสรีระมนุษย์กับฉินซื่อหลานได้เป็นวันเลยทีเดียว “เอาเป็นว่าฉันชอบผู้ชายที่หุ่นกำลังดีน่ะ ไม่ต้องมีกล้ามก็ได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าดูผอมจนหนังหุ้มกระดูก”
“หา?” ฉินซื่อหลานไม่เข้าใจความหมายที่เธอพูด “ช่างเถอะๆ สุดท้ายแล้วเราสองคนต่างก็ไม่มีใครทนใครได้ ไม่ต้องพูดจาโจมตีกันต่อหรอก”
ฉันพูดความจริงนี่นา” ถ้าให้ซย่าเสี่ยวมั่วได้เริ่มด่าแล้วก็ยากที่จะถอยกลับ
“กินเนื้อของเธอไปเถอะ!” ฉินซื่อหลานกินไม่ลงแล้ว จึงลุกขึ้นไปผัดผักให้ตัวเอง “ทนไม่ไหวแล้ว”
“โฮะๆๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงจานเข้าหาตัวอย่างเริงร่า เมื่อก่อนมีครั้งไหนบ้างที่เหยียนเค่อไม่มาแย่งเธอกิน แต่ตอนนี้ฉินซื่อหลานกลับทนไม่ได้เสียอย่างนั้น!
ทันใดนั้นเธอก็พบข้อดีอย่างหนึ่งของฉินซื่อหลาน ก็คือต่อไปเขาจะไม่มาแย่งเนื้อเธอกินแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะดีก็เถอะ แต่ให้อยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตก็รู้สึกเศร้าเหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วกินเนื้อ ฉินซื่อหลานกินผัก แบ่งสันจัดส่วนอย่างชัดเจน
“ถ้าเธออ้วนไปมากกว่านี้จะไม่สวยแล้วนะ จริงๆ” ฉินซื่อหลานพูดออกมาจากใจจริง
“ถ้านายยังผอมไปมากกว่านี่ก็จะโคตรขี้เหร่เลย” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้สึกว่าน่าอายสักนิด เพราะแต่เดิมก็ไม่ได้ดูดีอยู่แล้ว
ผู้หญิงใจใหญ่แบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเป็นเรื่องดีๆ ในสังคม หรือว่าเป็นเห็บหมัดในสังคมกันแน่ ฉินซื่อหลานเลือกที่จะเงียบ
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้เท่าไรก็ยิ่งสังเกตได้ถึงรายละเอียดที่มากขึ้นเท่านั้น ความจริงแล้วนิสัยของเขากับซย่าเสี่ยวมั่วนั้นก็นับว่าแตกต่างกันมากทีเดียว ที่ตอนแรกเขามีความรู้สึกดีๆ ต่อเธอก็เป็นเพราะว่ารู้สึกสนใจนิสัยที่แตกต่างกับเขาโดยสิ้นเชิงนั่น แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้นอีกขั้นแล้วก็พบว่า คนที่นิสัยตรงข้ามกันอาจจะสปาร์คกันได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ยืนยาว
ฉินซื่อหลานเลื่อนจานผักของเขาไปตรงหน้า แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่ชายตามองเลยสักนิด เขาจึงดึงกลับคืนมาอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ “ต้องมีสักวันหนึ่งที่เทวดามารับตัวเธอไปแน่นอน”