ตอนที่ 449 ถึงเมืองหลวง
เหยียนเค่อรู้สึกว่าเขาหลับตาไปได้ไม่นานเท่าไรก็ถึงที่หมายเสียแล้ว
เมื่อก่อนไปกลับล้วนก็นั่งเครื่องบินตลอด ตอนแรกเริ่มก็มีอาการผิดปกตินิดหน่อย ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกเท่านั้น แม้แต่ช่วงเวลาน่าเบื่อบนเครื่องบิน เขาก็รู้สึกว่ามันช่างแสนสั้น
เขายังจำได้คราวก่อนที่ไปเมือง S ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งบนเครื่องบินแล้วทรมานขนาดนั้น ดูท่าต่อไปถ้าเขาอยากไปเที่ยวกันสองคน คงนั่งเครื่องบินไม่ได้แล้ว เขาครุ่นคิดวิธีแก้ไขปัญหาในใจ ยังไม่ทันคิดได้ก็ถึงที่หมายเสียแล้ว
เหยียนเค่อหยิบกระเป๋าของตนออกจากด่านตม. รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไม่ได้พาผู้ช่วยหวังมาด้วย
เขาเข็นรถใส่สัมภาระออกมาจากด้านใน มองกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบๆ ปราดหนึ่ง สวีอันหรานบอกว่าเสิ่นจิ้งเฉินติดต่อให้พี่ชายของเขามาพาพวกเขาไปที่ที่พัก เหยียนเค่อไม่ได้มาเมืองหลวงนานแล้ว จึงรู้จักเศรษฐกิจกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดี ตอนนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตพัฒนาไปมากแล้ว เขาตัวคนเดียวก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไรหรอก เพียงแต่มีคนช่วยเหลือก็สะดวกกว่าอยู่แล้ว
เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาตามหาคนในสนามบิน แต่ก็ไม่ได้ตามหาอย่างละเอียดนัก กวาดตามองครู่หนึ่งก็ละสายตาหนี
เสิ่นมั่วหลียืนอยู่ไม่ห่างจากทางออกเท่าไรนัก เมื่อได้ยินประกาศว่าเครื่องบินลงจอดแล้วก็พับปิดหนังสือในมือ มองไปรอบๆ ฝูงชนก็เห็นเหยียนเค่อทันที
ราศีแบบนั้นไม่ใช่ลูกคนรวยธรรมดาหรือหนุ่มเพลย์บอยที่จะมีกันได้ เสิ่นมั่วหลีจ้องมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะประเมินในใจ ตอนที่เหยียนเค่อเกือบจะละสายตาไปจากเขา เสิ่นมั่วหลีก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“ไปกันเถอะ” น้ำเสียงห่างเหินอย่างที่เป็นมาตลอด
เหยียนเค่อหันไปมองชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนปราดหนึ่ง รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน
เสิ่นมั่วหลีไม่สนใจสายตาที่จ้องมองเขาอย่างใช้ความคิด เดินนำออกไปก่อนทันที
ใบหน้าของชายผู้นั้นลับไปจากสายตา เหยียนเค่อจึงจะพบว่าเมื่อกี้เขาเผลอเหม่อลอย หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งจึงจะสาวเท้าตามไป
พี่ชายของเสิ่นจิ้งเฉินเย็นชาขนาดนี้เชียว เหยียนเค่อรู้สึกว่าถ้าเขาอยู่กับผู้ชายคนนี้ ต้องทำให้คนในรัศมีสิบลี้แข็งตายแน่นอน
เพราะว่าเสิ่นจิ้งเฉินไม่ได้บอกเขาให้ชัดเจนก่อน ดังนั้นเสิ่นมั่วหลีจึงไม่รู้ว่าควรจะพาเหยียนเค่อไปส่งไว้ที่ไหน
“นายจะไปพักที่บ้านเสิ่นจิ้งเฉินหรือว่าจองโรงแรมไว้แล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เหยียนเค่อรู้สึกเหมือนต้องเป็นผู้ตาม ความรู้สึกของการที่สิทธิ์ในการพูดอยู่ในมือของคนอื่น มันช่างไม่โอเคเอาเสียเลย
“ไปบ้านเสิ่นจิ้งเฉิน”
ความแข็งกร้าวของทั้งคู่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นซึ่งๆ หน้า คนหนึ่งดูเรียบ สง่างามและห่างเหิน อีกคนดูสบายๆ แต่ก็เข้าถึงได้ยาก แต่ความจริงนั้นทั้งคู่ต่างก็ใช้ความสงบนิ่งนี้ควบคุมความเป็นไปในทุกสถานการณ์
ภายในรถเงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง เสิ่นมั่วหลีไม่ชอบพูดคุย ส่วนเหยียนเค่อก็ขี้เกียจปริปากพูด ทั้งสองคนไม่ชอบฟังรายการข่าวเหมือนกัน คนที่ขับรถอยู่ก็ขับรถไปตามหน้าที่ ส่วนอีกคนก็นั่งดูเอกสารของตัวเองไป
เสิ่นมั่วหลีอาศัยอยู่ที่คอนโดข้างศูนย์วิจัย แต่เสิ่นจิ้งเฉินไม่ชอบที่นั่นเพราะชีวิตน่าเบื่อ จึงย้ายออกไปตั้งนานแล้ว เสิ่นมั่วหลีย้ายออกไปได้พักหนึ่งแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องถามว่าพวกเขาจะไปบ้านหลังไหนของเสิ่นจิ้งเฉินกัน
เหยียนเค่อบอกว่าเขาก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน ทั้งคู่มองตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกคนโทรหาเสิ่นจิ้งเฉิน ส่วนอีกคนโทรหาวีอันหราน
เสิ่นจิ้งเฉินกับสวีอันหรานไม่รับโทรศัพท์ทั้งคู่ เสิ่นมั่วหลีเองก็ไม่ชอบความลังเล หลังจากขอความเห็นของเหยียนเค่อแล้ว เขาก็ขับรถตรงไปที่บ้านของตนทันที
“เสิ่นจิ้งเฉินรับโทรศัพท์ไม่ได้สักระยะหนึ่งนะ ทางด้านนั้นปิดตายรอบด้าน น่าจะอีกหลายวันกว่าจะติดต่อกับคนข้างนอกได้”
พวกเขาสนิทกัน จึงรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเสิ่นจิ้งเฉินไปไหน นอกเสียจากเรื่องที่ไม่สำคัญ เสิ่นมั่วหลีก็ไม่เปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้เช่นกัน
เหยียนเค่อพยักหน้า คว้าเสื้อคลุมเดินลงจากรถ
บ้านเรือนข้างๆ ศูนย์วิจัยล้วนเก่าแก่พอสมควรแล้ว สิ่งปลูกสร้างสีเหลืองอมน้ำตาลมีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นเต็มไปหมด ด้านนอกล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ยๆ ด้านในเป็นสวนขนาดใหญ่และตึกเล็กๆ มองจากด้านนอกก็ดูสวยดี และราคาก็ไม่แพงนัก
เหยียนเค่อยิ้ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าออกมาจากกระโปรงหลังรถ เสิ่นมั่วหลีลงไปเปิดประตู หนุ่มหล่อสองคนภายใต้สภาพแวดล้อมที่งดงามและเงียบสงบเช่นนี้ก็เพลินตาดีเหมือนกันนะ
ตอนที่ 450 ออกตัวอาสาทำอาหาร
“ช่วงนี้นายก็อยู่บ้านฉันไปก่อนก็ได้” เสิ่นมั่วหลีก็ไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้น แถมเสิ่นจิ้งเฉินก็กำชับสถานะพิเศษของผู้ชายคนนี้ให้ฟังแล้วด้วย เขาจับประตูให้เหยียนเค่อเข็นกระเป๋าเดินทางเข้ามาด้านใน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ย้ายไปย้ายมาลำบากแย่”
เหยียนเค่อก็เห็นด้วย ในเมื่อเขาไม่ถือสา เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ จึงเอ่ยอย่างเกรงใจ “รบกวนด้วยนะ”
เสิ่นมั่วหลีมองกระเป๋าเดินทางสองสามใบที่วางอยู่ตรงนั้น ก่อนจะช่วยลากไปไว้ที่ทางเดินเข้าบ้าน
ทุกครั้งเวลาไปดูงาน อย่างมากที่สุดเสิ่นมั่วหลีจะเอาไปแค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้น เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหยียนเค่อขนอะไรมามากมายนัก แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
การตกแต่งจัดวางของตัวบ้านก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเสิ่นมั่วหลีมากทีเดียว ทุกที่ล้วนมีแต่หนังสือที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดบนโต๊ะยังมีที่แขวนพู่กันวางไว้ ด้านบนแขวนพู่กันขนแพะประดับหยกขาวและหยกม่วงชั้นดีและกระดาษต้นฉบับอีกม้วนหนึ่ง
“บ้านรกนิดหน่อย ทนเอาหน่อยแล้วกันนะ” เสิ่นมั่วหลีมองหนังสือของตัวเอง ก่อนจะมองกระเป๋าเดินทางของเหยียนเค่อ เหมือนว่าทั้งคู่จะดูคล้ายคลึงกันเล็กน้อยในบางมุม
แต่เหยียนเค่อไม่ได้สนใจสิ่งนี้ เขากลับรู้สึกว่าทรัพย์สินของเสิ่นมั่วหลีไม่ได้น้อยกว่าเขาไปสักเท่าไร แค่ภาพบนผนังนี้ ถึงมีเงินมากแค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าจะซื้อได้
เสิ่นมั่วหลีเดินหยิบน้ำออกมา ก็เห็นเหยียนเค่อเหม่อมองรูปภาพตรงผนังอยู่
เขาส่งแก้วในมือให้เหยียนเค่อ เหยียนเค่อออกจากภวังค์ ก่อนจะยื่นมือออกมารับแก้วและเอ่ยขอบคุณ
เสิ่นมั่วหลีหมุนตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะเอ่ยกับเหยียนเค่ออย่างไม่ยี่หระ “รูปภาพนี้ฉันทำลอกเลียนแบบขึ้นมา ของจริงอยู่ในห้องหนังสือ”
เหยียนเค่อหันไปมองแผ่นหลังผอมโคร่งของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เสิ่นมั่วหลีพลิกดูกระดาษบนโต๊ะตัวเตี้ย ไม่สนใจสายตาประหลาดใจของเหยียนเค่อ
เสิ่นมั่วหลีมีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ เหยียนเค่อยิ้ม ระดับนี้แล้วต้องเรียกว่าเป็นสมบัติแห่งชาติ
เขารู้ข่าวคราวในเมืองหลวงเป็นอย่างดี คนอายุเท่านี้ที่เหมาะสมได้รับการเรียกขานว่าผู้มีความรู้ก็มีแต่เสิ่นมั่วหลีเท่านั้น เหยียนเค่อนับถือเขาจริงๆ
แต่ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน ถึงเสิ่นมั่วหลีจะอัจฉริยะแค่ไหนก็มีเรื่องที่ทำไม่เป็นเช่นกัน อย่างเช่นการทำอาหาร
ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี ปกติแล้วตอนนี้เสิ่นมั่วหลีจะกินอาหารอยู่ที่ร้านอาหารในศูนย์วิจัย หรือไม่ก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารโรงเรียน แต่มีแขกมาแบบนี้ จะไปกินแบบขอไปทีไม่ได้
ชายหนุ่มสองคนนั่งตรงกันข้ามกันสักพัก จนเสิ่นมั่วหลีหยิบกุญแจจะพาเหยียนเค่อออกไปข้างนอกอยู่แล้ว เหยียนเค่อจึงจะเอ่ยขึ้น “ที่บ้านไม่มีของสดเหรอ”
เสิ่นมั่วหลีเลิกคิ้วแล้วพยักหน้า “มี”
วัตถุดิบทำอาหารที่เสิ่นจิ้งเฉินสั่งซื้อจะมาส่งที่หน้าประตูตรงตามเวลาทุกวัน แต่เขาแทบไม่ทำอาหารเอง หลายครั้งที่เขาจะหอบไปแจกจ่ายให้คนในที่ทำงาน หรือไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้จนเน่าเสียแล้วจึงโยนทิ้ง
“งั้นเดี๋ยวฉันทำอาหารเอง” เหยียนเค่อไม่อยากออกไปข้างนอก
“ก็ได้” เสิ่นมั่วหลีไม่อยากปฏิเสธ
เหยียนเค่อพับแขนเสื้อแล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหารอย่างเบิกบานใจ ส่วนเสิ่นมั่วหลีก็นั่งดูเอกสารบนโซฟาต่อไป
เสิ่นมั่วหลีพึงพอใจที่เขาออกตัวอาสาทำอาหาร แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็ทำอาหารเป็นเช่นกัน ดังนั้นเขาไม่รู้ว่านี่นับเป็นข้อดีหรือข้อเสียของเหยียนเค่อกันแน่
เหยียนเค่อไม่รู้ว่าเสิ่นมั่วหลีที่ได้รับมอบหมายงานสำคัญมากำลังแอบประเมินตนอยู่ในใจ เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วจึงตะโกนเรียกเขา
เสิ่นมั่วหลีกำลังจมดิ่งอยู่ในโลกหนังสือ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของคนอื่นที่ตะโกนเรียกตน
เหยียนเค่อพูดไม่ออก ตอนที่เขาดูเอกสารจนเหม่อลอยแบบนี้ คนอื่นก็อยากจะปลุกเขาให้ออกจากภวังค์เหมือนกันอย่างนั้นหรือ
เสิ่นมั่วหลีอ่านจบหน้าหนึ่ง ขณะที่กำลังจะดื่มน้ำก็พบว่าเหยียนเค่อยืนอยู่ด้านข้างของตน จึงหันไปมองเขา “มีอะไรหรือเปล่า”
“กินข้าวได้แล้ว” เหยียนเค่อบอกเขาเป็นนัยน์ว่าเลยเวลาอาหารแล้ว
เสิ่นมั่วหลีลุกขึ้นยืนตาม ก่อนจะครุ่นคิดในใจ นึกไม่ถึงว่าคนแรกที่ได้ทำอาหารในบ้านเขาจะไม่ใช่ภรรยาของตน แต่เป็นเหยียนเค่อ
“นายทำกับข้าวอร่อยนะ” หลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นมั่วหลีก็เอ่ยขึ้น เหยียนเค่อไม่ได้ตอบอะไร ทั้งคู่นั่งเงียบๆ กินข้าวของตัวเองต่อไป
เป็นภาพที่ดูพิลึกพิลั่นเล็กน้อย ถ้าเสิ่นจิ้งเฉินได้มาเห็นคงหัวเราะก๊ากแน่นอน