ตอนที่ 463 รอดชีวิต
“ต่อไปฉันจะไม่ใส่รองเท้าส้นสูงที่สูงขนาดนี้แล้ว” ตอนร่างกายปกติก็ไม่มีความรู้สึกอะไรหรอก แต่พอเจ็บปวดตรงไหนขึ้นมา การสวมรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดนั้นเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
สวีรั่วชีกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ ผู้ชายของเธอถนัดเรื่อง ‘เชือดแบบช้าๆ’ ที่สุดอยู่แล้ว ทำอะไรไม่เด็ดขาดเลยสักนิด เธอร่วมมือกับเหยียนเค่อจะมีโอกาสชนะมากกว่า ถ้าเหยียนเค่อจัดการคนพวกนี้ให้เธอหมดแล้วล่ะก็ เธอก็จะจับซย่าเสี่ยวมั่วใส่พานถวายให้เลย
ซย่าเสี่ยวมั่วบ่นอยู่ค่อนวัน กลับเพิ่งพบว่าสวีรั่วชีไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลยสักนิด จึงเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ก่อนจะยื่นหน้าไปตรงหน้าของสวีรั่วชี จ้องเธอเขม็งแล้วเอ่ยถาม “เธอคิดอะไรอยู่ ไม่สนใจฉันเลย!”
สวีรั่วชีตกใจที่จู่ๆ เธอก็ชะโงกหน้าเข้ามา ก่อนจะใช้มือดันไหล่ให้เธอเดินไปข้างหน้า แสร้งทำเป็นตอบซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไม่ใส่ใจนัก “ตอนแต่งงานก็จะไม่ใส่หรือไง”
“ฉันไม่แต่งงาน!” ซย่าเสี่ยวมั่วผลักสวีรั่วชีไปหนึ่งทีอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไม มีแฟนแล้วจะมาเยาะเย้ยฉันหรือไง”
“จำคำพูดในวันนี้ของเธอให้ดีนะ สวมรองเท้าส้นเตี้ยให้ได้จะดีกว่า” สวีรั่วชีแค่นเสียงในใจ ส่วนสูงของซย่าเสี่ยวมั่วกับเหยียนเค่อนั่นน่ะ ถ้าไม่ใส่รองเท้าส้นสูง เวลาจูบกันจะให้เหยียนเค่อจูบกับอากาศหรือไง
“จำแน่ ยังไงซะก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก” ซย่าเสี่ยวมั่วรับประกันกับสวีรั่วชีอย่างไม่เกรงกลัว เธอจะไม่แต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้แล้ว
สวีรั่วชีไม่รู้ว่าทำไมซย่าเสี่ยวมั่วถึงเปลี่ยนไป ทั้งๆ ตอนเด็กๆ เอาแต่จินตนาการว่ามีเจ้ชายขี่ม้าขาวมาเธอไปจากคุณแม่ซย่า แล้วไปใช้ชีวิตเป็นเจ้าหญิงอยู่ในปราสาท แต่ตอนนี้กลับปล่อยตัวเอง ขนาดเรื่องแต่งงานก็ไม่คิดถึงมันแล้ว
“ให้ฉันถ่ายรูปให้หน่อยไหม” ก่อนขึ้นรถสวีรั่วชีเห็นว่าทิวทัศน์สวยงามขนาดนี้ ถ้าไม่ถ่ายภาพเก็บไว้ก็น่าเสียดายนิดหน่อย จึงเสนอแนะซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะถ่ายรูปตั้งแต่ตอนม้าแล้ว อย่างไรเสียต่อไปให้ตายเธอก็คงไม่แต่งตัวแบบนี้อีกแล้ว ตอนนี้ถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อยจะได้เก็บไว้ดูให้หายคิดถึงในภายหลัง
พื้นหญ้าสีเขียวเหลือง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองยิ้มอย่างสดใส
สวีรั่วชีพึงพอใจในเทคนิคการถ่ายรูปของตัวเองเป็นอย่างมาก คล้องแขนซย่าเสี่ยวมั่วแล้วขับรถกลับบ้าน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ได้กระทบกับอารมณ์ของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นเพราะว่ากว่าจะหนีออกมาจากเงื้อมือของผู้หญิงกลุ่มนั้นได้ก็ไม่ง่าย จึงรู้สึกดีใจเหมือนได้รอดชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมเฉิงซินถึงเอาแต่แกล้งเธอล่ะ”
หลังจากที่ทั้งคู่เข้ามานั่งในรถแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็ถามสวีรั่วชี
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วสวีรั่วชีก็โมโห เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนผวา “ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่ก่อนหน้านี้สวีอันหรานเคยพามาที่บ้าน เป็นพี่สะใภ้ฉันที่สวีอันหรานหามาให้”
ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะกับท่าทางพูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปของเธอ “ฮ่าๆๆๆ”
“ยังมีแรงมาขำอีกหรือไงหา รัดเอวยังไม่พอใช่ไหม” สวีรั่วชีตวัดตามองเธอปราดหนึ่ง ไม่พอใจกับปฏิกิริยาของเธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วตีหน้าขรึมทันที เก็บรอยยิ้มของตนลงแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “จะเป็นพี่สะใภ้ได้ยังไงกันเล่า! ต้องเจื๋อนของสวีอันหรานซะแล้ว”
“หุบปากเลยนะ!” พูดแบบนี้สู้ไม่พูดจะดีกว่า สวีรั่วชีมองเธอหนึ่งที ไม่อยากจะพูดปัญหายุ่งยากนี่กับคนปัญญาอ่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้ว่าตอนนี้สวีรั่วชีก็คงจะไม่สบายใจ แต่ในฐานะเพื่อน (เลว) เธอก็ขอสะใจอยู่ข้างในใจก็แล้วกัน นี่มันจะละครเกินไปแล้ว
“แล้วจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” ซย่าเสี่ยวมั่วสงสัยเป็นอย่างมากว่าสวีรั่วชีจะสะสางเรื่องนี้กับ
สวีอันหรานอย่างไร
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่” สวีรั่วชีรู้จักความทะเยอะทะยานของเธออย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงตนพูดออกมาเธอก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี เอาแต่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ เท่านั้นแหละ
ตอนที่ 464 กินอาหารเย็นด้วยกัน
เมื่อรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่เป็นอะไร เหยียนเค่อก็ไม่ได้ดูร้อนใจเท่าตอนแรกแล้ว กลับเริ่มทำตามวิธี ‘เชือดอย่างช้าๆ’ ของสวีอันหราน
สวีอันหรานเพิ่งจะรู้ว่าตอนที่เหยียนเค่อทำอะไรชักช้าแล้วช่างน่าทรมานใจเสียจริง สุดท้ายอีกฝ่ายก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ ยอมถอยให้กับการที่สวีกรุ๊ปจะบุกตลาดหนึ่งก้าว เหยียนเค่อช่วยจัดการในส่วนหลังให้
สวีอันหรานด้วย ในที่สุดสวีกรุ๊ปก็ได้รับชัยชนะอย่างสวยงาม
“ถ้ารู้ว่านายจะเป็นแบบนี้ หลายวันก่อนก็น่าจะให้นายออกมาเจรจาให้เลย เสียเวลาของฉันไปฟรีๆ เลยเนี่ย”
ให้เจ้าหมอนี่ลั้ลลาไปก่อนสักสองวัน รอกลับไปโดนสวีรั่วชีแยกร่างแล้วก็คงลั้ลลาไม่ออก
เหยียนเค่อต้องกลับไปจัดการรายชื่อที่สวีรั่วชีส่งมาให้ก่อน จะมาเสียเวลาอยู่กับสวีอันหรานต่อไปไม่ได้ เขาจึงเดินออกไปจากประตูใหญ่ทันทีโดยไม่หันมามองกันสักนิด จากนั้นก็ขับรถออกไปทันที
สวีอันหรานเห็นรถของเหยียนเค่อจกาชั้นบน ไม่สิ รถของเสิ่นมั่วหลีต่างหากที่ขับออกไปอย่างรวดเร็ว คิดจินตนาการไปต่างๆ นานา เขียนนิยายแสนเศร้าของการที่เหยียนเค่อและเสิ่นมั่วหลีชอบพอกันในหัวไปประมาณหนึ่งหมื่นตัวอักษร
เสิ่นมั่วหลีเพิ่งไปกินข้าวในโรงอาหารของโรงเรียน ก็เจอกลุ่มสาวน้อยมารุมล้อมอีกครั้ง เมื่อกลับบ้านก็รู้สึกเอือมระอา ตอนนี้ตนเคยชินกับการอยู่บ้านเดียวกับเหยียนเค่อเสียแล้ว ถ้าเหยียนเค่อกลับไป เขาก็คงต้องใช้เวลานานเลยกว่าจะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิม
“กลับมาแล้วเหรอ” เหยียนเค่อยืนเปลี่ยนไปใส่รองเท้าสลิปเปอร์อยู่ตรงทางเข้าบ้าน แล้วเอ่ยทักทายเสิ่นมั่วหลีที่นั่งอยู่บนโซฟา
เสิ่นมั่วหลีเงยหน้าขึ้นจากม้วนหนังสือก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาแขวนปราดหนึ่งแล้วถามขึ้น “เสร็จไวขนาดนี้เลยเหรอ”
“อืม” เหยียนเค่อไม่พูดอะไรกับเขามาก ตอนนี้เขาต้องขึ้นไปประชุมผ่านวิดีโอข้างบนห้อง ต้องจัดการคนพวกนั้นให้หมดก่อนที่เขาจะกลับไป
เสิ่นมั่วหลีเห็นว่าเขาไม่อยากจะพูดกับตนต่อ จึงไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีก ก้มหน้าอ่านหนังสือตามเดิม
หลังจากเหยียนเค่อขึ้นห้องแล้วก็ไม่ได้กลับลงไปอีก ขนาดฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สังเกตเห็น จนกระทั่งตอนที่ประชุมกันอยู่แล้วผู้ช่วยของตนบอกนั่นล่ะ เขาถึงจะรู้ตัวว่านี่ก็ดึกมากแล้ว เขาจึงจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะมาแล้วตลอดทั้งบ่าย
“ไปกินข้าวเถอะครับ ส่วนเรื่องนี้ก็ทำตามที่ผมสั่งก็แล้วกัน” เหยียนเค่อบีบนวดหลังคอของตนอย่างเมื่อยล้า พับปิดหน้าขอโน้ตบุ๊ก ก่อนจะนั่งพักผ่อนลงบนเก้าอี้
ก๊อกๆๆ
“หืม” เหยียนเค่อหันขวับ นอกจากเสิ่นมั่วหลีแล้วก็ไม่น่าจะมีใครมาเคาะประตูห้องแล้ว เขาจึงตะโกนไปทางประตู “เชิญครับ!”
เสิ่นมั่วหลีแง้มประตูเปิดออก อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดแล้วมองเหยียนเค่อ “ตอนนี้ก็ดึกแล้วนะ”
เหยียนเค่อกำลังจะพยักหน้าแล้วบอกว่าตนรู้แล้ว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเสิ่นมั่วหลีอยู่บ้านนานแล้ว จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เดี๋ยวฉันไปทำอาหาร”
ช่วงนี้เหยียนเค่อรู้จักเมนูอาหารเพิ่มขึ้นไม่น้อย เมื่อก่อนยังโดนซย่าเสี่ยวมั่วค่อนแคะ แต่ตอนนี้ก็จำเมนูอาหารได้โดยไม่รู้ตัว
“อืม” สุดยอดจริงๆ เขาไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลย เสิ่นมั่วหลีปิดประตูอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลงไปทำงานของตัวเองต่อ
เหยียนเค่อก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงมีความรู้สึกที่ต้องดูแลเสิ่นมั่วหลีให้ดีมากขนาดนั้น แต่เขามาอาศัยชายคาบ้านคนอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยอมก้มหัวให้ แต่การคุยกันด้วยสันติก็ไม่เลวนัก
เสิ่นมั่วหลีกินอาหารร้อนๆ ที่เพิ่งปรุงสุกใหม่ๆ หลายวันมานี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าฝีมือการทำอาหารของเหยียนเค่อนั้นพุ่งทะยานขึ้นเป็นเส้นตรง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เมื่อก่อนนายไม่ค่อยได้ทำอาหารใช่หรือเปล่า”
“รสชาติแย่มากเลยเหรอ” เหยียนเค่อไม่ได้ปฏิเสธ เขาทำอาหารเป็น แต่ไม่ได้ทำบ่อย หรือว่าเขาจะทำอาหารรสชาติแย่เกินไปจนเสิ่นมั่วหลีทนไม่ไหวก็เลยพูดออกมากันนะ?
“ไม่เลย” เมื่อก่อนนอกจากออกไปกินข้าวที่ร้านแล้ว เสิ่นมั่วหลีก็สั่งอาหารมากินที่บ้านเท่านั้น การมีคนมาทำอาหารให้กินเขาก็พอใจมากแล้ว รสชาตินั้นไม่สำคัญเลย “นายทำอร่อยมาก” เพื่อให้เห็นภาพ เขาจึงพูดเปรียบเทียบ “อย่างน้อยก็อร่อยกว่าพ่อครัวในร้านอาหารล่ะนะ”
“ขอบคุณ” นอกจากคำนี้ เหยียนเค่อก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เขาเพิ่งเคยได้ยินการเปรียบเทียบแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ