ตอนที่ 467 ออกไปเดินเล่น
สวีรั่วชีเอ่ยเร่งเรื่องแต่งงานอีกครั้ง แต่ก็สิ้นสุดลงเมื่อเหยียนเค่อเงียบไป ทำเอาสวีรั่วชีโมโหจนอยากจะยกซย่าเสี่ยวมั่วให้คนอื่น
“เดี๋ยวฉันแนะนำหนุ่มสูงหล่อพ่อรวยให้ อายุมากกว่าเธอด้วยนะ รับรองว่าเธอต้องชอบ”
ซย่าเสี่ยวมั่วที่กำลังจะนอน กลับโดนสวีรั่วชีที่กำลังบ้าคลั่งลากตัวออกมาจากผ้าห่มอีกครั้ง แถมยังพูดเรื่องน่าเบื่อออกมาเป็นชุดอีกต่างหาก
ซย่าเสี่ยวมั่วเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเอ่ยพูด จึงฟาดมือเข้าที่แขนของเขาอย่างสะเปะสะปะก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ “ฉันจะนอนแล้ว เธอก็นอนได้แล้ว”
“นอนอะไรเล่า ลุกขึ้นมาสนุกกันก่อนสิ” สวีรั่วชีจะปลุกเธอตื่นให้ได้ หัวข้อสนทนาที่ดึงดูดใจขนาดนี้แต่เธอกลับไม่สนใจอย่างนั้นหรือ!
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกเสียใจที่วันนี้ไปแข่งม้าแทนสวีรั่วชี ทำให้ตัวเองต้องมาซึมเซา ไม่กระฉับกระเฉงแบบนี้
“พอเถอะ ฉันเหนื่อยแล้วจริงๆ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน บ๊ายบาย” ซย่าเสี่ยวมั่วลื่นหลุดจากการจับของเธอ ก่อนจะตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วนอนต่อ
สวีรั่วชีเอือมระอา ก็ได้ ในเมื่อทั้งสองคนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร คนใกล้แต่งงานอย่างเธอควรจะจัดการเรื่องที่ตัวเองควรทำก่อนดีกว่า
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสิ่นมั่วหลีก็มาเคาะประตูห้องของเหยียนเค่อแต่เขายังไม่ตื่น ถ้าเขาขาดสติขึ้นมาละก็ กระถางดอกกล้วยไม้บนโต๊ะนั่นก็คงจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้นเป็นแน่
“มีอะไรหรือเปล่า” เหยียนเค่อปัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง สมองยังคงความง่วงงุน
ความจริงเสิ่นมั่วหลีมีเจตนาดี เห็นว่าเขามาอยู่ตั้งนานแล้วยังไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ
“วันนี้นายว่างไหม”
เหยียนเค่อมองเขาอย่างมึนงงแล้วพยักหน้า “ว่าง”
“ออกไปเดินเล่นกันไหม” เสิ่นมั่วหลีรู้ว่าเหยียนเค่อมาเจรจาธุรกิจ แต่ให้ทำความเข้าใจแค่เรื่องสำคัญอย่างเดียวก็คงไม่พอ ต้องออกไปเดินเล่น ทำความเข้าใจกับท้องถิ่นนี้เสียหน่อย
เหยียนเค่อตอบรับในลำคอ แต่ท่าทางแบบนั้นมักทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาจะหลับต่อในวินาทีถัดไป
ซย่าเสี่ยวมั่วก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ถ้าพวกเขาเป็นแบบนี้กันทั้งคู่ล่ะก็ ภาพนั้นคงจะน่าขันมากทีเดียว หลังจากเสิ่นมั่วหลีพูดจบก็ออกมา ก่อนจะปิดประตูให้เรียบร้อย แล้วกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตัวเอง
เหยียนเค่อยังคงมึนงงอยู่ หลังจากนั่งลงสักพักจึงจะค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น เขาดึงสติกลับมาและเริ่มไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา
เมื่อลงมาก็เห็นเสิ่นมั่วหลีรออยู่ด้านล่างแล้ว
“เมื่อคืนนอนดึกเหรอ”
“อืม”
หลังจากทั้งคู่คุ้นเคยกันแล้วก็เริ่มพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันมากขึ้น แต่ก็แค่ตอนที่อีกฝ่ายอารมณ์ดีอยากจะคุยด้วยเท่านั้นล่ะนะ
“ฉันพานายไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัยนะ?” เสิ่นมั่วหลีก็แค่พูดเล่น เขาคิดว่าเหยียนเค่อคงไม่เสียเวลาไปกับการเดินชมทิวทัศน์แบบนี้หรอก แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
“มหาวิทยาลัยที่นี่คงเหมือนกับที่เมือง N สินะ”
“ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ฉันไม่เคยเข้าไปในมหาวิทยาลัยของเมือง N แต่คิดว่าน่าจะพอๆ กัน”
“ตอนนี้การตลาดนกลุ่มนักเรียนนักศึกษากว้างขวางมาก แต่มหาวิทยาลัยมีการสั่งห้าม จึงยังมีข้อจำกัดในการเข้าออกสถานบันเทิงอยู่” เหยียนเค่อครุ่นคิดในใจ เขาจะขยายตลาดของ YAN จะอยู่ภายใต้การดูแลของสวีกรุ๊ปไปตลอดไม่ได้ ธุรกิจหลักของสวีกรุ๊ปนั้นเน้นการพัฒนาศูนย์การค้าที่ไม่ใหญ่และความเสี่ยงน้อยเป็นหลัก แต่ YAN เน้นหนักไปทางด้านบันเทิงมากกว่า สองฝ่ายอาจจะร่วมมือกันได้ แต่เดินไปบนถนนเส้นเดียวกันไม่ได้
“ถ้านายเปิดสถานบันเทิงใกล้ๆ มหาวิทยาลัยก็ได้อยู่นะ” เสิ่นมั่วหลีคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดี “หลายมหาวิทยาลัยขยายพื้นที่ออกไปในแถบชานเมืองหรือไม่หมู่บ้านคน โอกาสทางการค้าสูงมาก แต่ต้องสร้างสัมพันธ์กับเบื้องบนเข้าไว้ และสถานที่นั้นต้องสะอาดไร้มลทิน”
ก่อนหน้านี้เหยียนเค่อไม่อาจจินตนาการว่าคนมีมาดอย่างเสิ่นมั่วหลีจะมาคุยเรื่องเงินทองกับตน คิดไม่ถึงว่าต่อให้ขาจะคุยเรื่องเงินทองอยู่ แต่ก็ยังคงความสง่างามเอาไว้ได้
ตอนที่ 468 วางแผนลับ
“ความจริงห้องดนตรีที่เป็นทางเลือกที่ดีนั้น อาจจะไม่ได้มีความบันเทิงเท่าไรเลยก็ได้” ในที่สุดอาจารย์เสิ่นที่สอนเขียนพู่กันจีนในชมรมของโรงเรียนก็อดค่อนแคะออกมาไม่ได้ “สอนเขียนพู่กันจีนในโรงเรียนแต่ไม่มีโต๊ะตัวยาวให้เลย ต้องเขียนหนังสือบนแท่นขนาดเล็กแบบนั้นมันน่าอึดอัดชะมัด”
เหยียนเค่อหัวเราะ อาจารย์เสิ่นสอนวิชาพู่กันจีนนี่ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เสิ่นมั่วหลีถอนหายใจ เขาโดนเกลี้ยกล่อมให้ไปสอนไม่หยุดหย่อน แต่กลับไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรให้เลย ในขณะที่อาจารย์เสิ่นเสนอไอเดียให้เหยียนเค่อ ก็เสนอสวัสดิการให้ตัวเองเช่นกัน
“นายสอนคนอื่นเป็นเหมือนกันเหรอ” เหยียนเค่อนึกว่าเขาจะไม่สนใจอะไรเลย คาดไม่ถึงว่าจะถูกเชิญตัวไปสอนหนังสือด้วย
เสิ่นมั่วหลียากจะอธิบายเหตุการณ์อันซับซ้อนนี้ เป็นเพราะว่าเขาโดนนักเรียนพวกนั้นเกลี้ยกล่อมต่างหากถึงได้ตอบตกลงไป
“ตอนนี้ภาพของนายภาพหนึ่งราคาเท่าไร” เหยียนเค่อไม่ได้อยากจะไร้มารยาท แต่บางทีเงินก็เป็นมาตรฐานในการวัดของอะไรหลายๆ อย่าง
เสิ่นมั่วหลีติดกระดุมเสื้อคลุมกันลมแน่น ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “หมื่นแปดมั้ง”
เหยียนเค่อยังคงเคลือบแคลงสงสัยในราคานี้อยู่ ดูจากฝีมือการเขียนของเสิ่นมั่วหลีแล้ว ราคาของภาพก็คงสูงมากทีเดียว
ชายรูปงามสองคนเดินไปบนถนนในมหาวิทยาลัย พูดคุยหัวเราะในเรื่องราวธรรมดา ไม่เล็กไม่ใหญ่ในชีวิต ภาพนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ทำให้รู้สึกว่ามันช่างงดงามเหลือเกิน
ในห้องชาของเมือง N หญิงสาวสองคนที่นั่งตรงข้ามกันต่างก็คอยลอบสังเกตพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ เนิ่นนานจนสวีอิ๋งอิ๋งทนไม่ไหวจึงเอ่ยพูดกับหญิงสาวที่ตนไม่คุ้นเคย “เธอเกี่ยวข้องอะไรกับ
ซย่าเสี่ยวมั่ว”
เซียวอู๋อี้ไม่รู้ว่าสวีอิ๋งอิ๋งตามหาตัวเธอเจอได้อย่างไร เธอไม่รู้จักสวีอิ๋งอิ๋ง รู้เพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น
“เมื่อก่อนฉันเคยเป็นเพื่อนกับเขา” เซียวอู๋อี้พูดออกไปครึ่งหนึ่ง เก็บประโยคด้านหลังไว้ในใจก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมคุณต้องมาหาฉัน”
“เพราะว่าเธอเคยเป็นเพื่อนกับซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยังไงล่ะ” ถึงแม้ว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ก่อนเจอกันก็ได้สืบประวัติเธอจนละเอียดแล้ว จึงทำให้คุยกันได้สะดวกยิ่งขึ้น เธอเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้เธอเกลียดซย่าเสี่ยวมั่วไหม”
เซียวอู๋อี้ยกถ้วยชาในมือขึ้น สายตาไม่ได้มองไปยังสวีอิ๋งอิ๋ง แต่กลับมองผ่านไปยังภาพวาดที่อยู่ด้านหลังแทน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ “เกลียดสิ ทำไมจะไม่เกลียดล่ะ”
“ในเมื่อเธอเกลียด งั้นเคยคิดแผนจัดการบ้างไหม” สวีอิ๋งอิ๋งคิดว่าการเจรจาของตนน่าดึงดูดมาก แต่ความจริงเซียวอู๋อี้รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอต้องการอะไร แต่ก็ยังนั่งมองสวีอิ๋งอิ๋งที่คิดว่าตัวเองฉลาดแล้วยังพูดพล่ามต่อไป
“ไม่มีแผนอะไรหรอกค่ะ” เธอตอบปัด
“เธอไปหาเฉิงซินแล้วไม่ใช่หรือไง!”
สวีอิ๋งอิ๋งได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็เสแสร้งต่อไปไม่ไหว น้ำชาในถ้วยมีส่วนหนึ่งที่กระเด็นลงบนโต๊ะ ปรากฏรอยน้ำเป็นวง เธอลืมแม้กระทั่งมาดของความเป็นลูกสาวตระกูลผู้ดี ก่อนจะจ้องเซียวอู๋อี้เขม็ง
เซียวอู๋อี้คิดว่าผู้หญิงคนนี้ไร้สมองยิ่งกว่าเฉิงซินเสียอีก แต่ว่าคนไม่มีสมองก็มีข้อดีของมัน อย่างน้อยก็ตรงกับเป้าหมายที่เธอตามหามากกว่า อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเฉิงซิน ที่บรรลุเป้าหมายแล้วก็พร้อมจะเฉดหัวเธอทิ้ง
“คุณรู้หรือคะ” เซียวอู๋อี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ
ตอนแรกสวีอิ๋งอิ๋งก็จะไปร่วมงานพบปะและขี่ม้านั่นเหมือนกัน แต่สุดท้ายดันมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน จึงถูกบังคับให้อยู่บ้าน
วันที่นัดพบปะและขี่ม้ากันนั้น เธอได้รับข่าวมาว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะไปสนามม้ากับสวีรั่วชี เธอก็เลยคิดแผนการชั่วร้ายได้ในตอนนั้นเอง ต่อมาหลังจากที่ได้พูดคุยกับเฉิงซินทำให้ได้รู้ข้อมูลของเซียวอู๋อี้และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซย่าเสี่ยวมั่ว โดยเฉพาะการร่วมมือกันระหว่างเฉิงซินกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แน่นแฟ้นนัก เธอจึงเข้ามาหาเซียวอู๋อี้