ภาพนี้ดึงดูดสายตาเกินไป
หัวใจของโล่เฉินเต้นแรง ราวกับว่าเขาเห็นสมบัติบางอย่าง ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปถือภาพวาดไว้ในมือ
ภาพนี้ยาวเกือบเต็มเมตร
เป็นภาพของชายคนหนึ่งที่เห็นเพียงแผ่นหลัง ยืนอยู่บนยอดเขา สองมือไพล่หลัง เบื้องล่างเป็นกลุ่มเมฆขาว ให้บรรยากาศของ “ผืนดินไร้ขอบเขต ใครคือผู้ครอบครองวัฏจักร” อย่างเต็มเปี่ยม
ครืน
จิตใจของโล่เฉินสั่นไหว ภาพความทรงจำปรากฏขึ้น
……
วันหนึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว บนยอดเขาเย่นหลิง
“อาจารย์อาจารย์ ท่านดูศิษย์พี่หญิง เธอไม่ยอมฟังคำเทศนาของคุณ แถมยังแอบวาดภาพอีกต่างหาก”
“โย่วเวย อย่าพูดจาไร้สาระ”
“ศิษย์พี่หญิงอย่ามาปฏิเสธ ให้ฉันดูหน่อย…ไอ้หยา นี่คืออาจารย์ไม่ใช่หรอกหรือ คุณแอบชอบอาจารย์ใช่ไหม”
“สาวน้อย วอนโดนตี”
“เป็นอาจารย์จริงๆด้วย เสี่ยวถงความคิดของเธออันตรายมาก” อู่เสินทงหัวเราะลั่น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมคุณก็พูดเรื่องไร้สาระไปด้วย”
เย่ถงพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าขาวสวยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ราวกับว่าจะมีเลือดออก
“หรือว่าจะเกิดตำนานความรักต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับศิษย์ขึ้น ไอ้หยา นี่มันยากอยู่นะ” หลันโย่วเวยยิ้มแปลก ๆ
เจียงเจิ้งชิงหรี่ตาและพูดติดตลกว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอยังกล้าว่าเสี่ยวถง วันนั้นตอนเธอหลับไป ในฝันยังตะโกนเรียกอาจารย์ๆอยู่เลย”
“มีที่ไหนกัน”
หลันโย่วเวยสายตาสับสน และเบือนหน้าหนี
บนยอดเขาเย่นหลิง เสียงหัวเราะดังขึ้น
โล่เฉินหันกลับมาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะเอาล่ะ พอได้แล้ว เสี่ยวถง พลังจิตของเธอก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ภาพวาดนี้ทำได้ไม่เลว”
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ฉันเตรียมเป็นเทียนเซียนแล้ว แต่ครึ่งก้าวสุดท้ายมักจะก้าวผ่านไปเสมอ ไม่รู้ว่าทำไม?” เย่ถงถามด้วยความสงสัย
หลันโย่วเวยพึมพำ “เป็นเพราะติดอยู่กับความรัก”
“โยว่เวย ถ้าเธอพูดเหลวไหลอีก ระวังฉันจะตีก้นเธอ”
“ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่หญิง คุณเอาชนะฉันไม่ได้หรอก ฉันเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นกลางแล้ว ต่อให้เป็นศิษย์พี่เจียง ก็ไม่แน่ว่าจะเอาสามารถชนะฉันได้ มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่กดฉันลงได้ แต่ว่าอีกไม่นาน ฉันจะต้องแซงหน้าศิษย์พี่ใหญ่ให้ได้ ”
หลันโย่วเวยมีสีหน้าภาคภูมิใจ
เจียงเจิ้งชิงและอู่เสินทงมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
โล่เฉินให้คำแนะนำ “ปล่อยให้เป็นไป เทียนเซียนผสมด้วยคำว่าเซียน อย่างนั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ในความมืดย่อมมีจำนวนของมันเอง เมื่อน้ำมาคลองย่อมเกิดและสามารถก้าวสู่ขอบเขตเทียนเซียนได้ นอกจากนี้ ภาพวาดของเธอตอนนี้อยู่ระดับเทียนเซียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเอง ”
“อาจารย์ ฉันมอบให้คุณ”
“ฉันชอบมันมาก”
……
เขาดึงความคิดกลับมา
เมื่อมองดูภาพในมือ โล่เฉินก็รู้สึกโศกเศร้า
จิตรกรของภาพนี้คือเย่ถง เป็นศิษย์คนที่สามของเขา และเคยเป็นหนึ่งในสี่รองผู้บัญชาการของหน่วยอ้าน เป็นเทียนเซียนผู้แกร่งกล้าเพียงหนึ่งเดียว
ในรูป มีระดับเทียนเซียนแฝงอยู่ และมีพลังจิตอันแข็งแกร่งอย่างมาก
เมื่อคนธรรมดาจ้องมองสังเกตบ่อยๆ ก็จะช่วยเพิ่งพลังจิตให้แข็งแกร่งขึ้นได้ผ่านตามกาลเวลาและอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
นี่คือสาเหตุที่พลังจิตของเหยียนหรูยู่แข็งแกร่ง
อาจกล่าวได้ว่า ภาพวาดนี้เป็นสมบัติล้ำค่า
ไม่ทันได้รู้ตัว ดวงตาของโล่เฉินก็แดงขึ้นเล็กน้อย ความคิดของเขาล่องลอยไปอีกครั้ง
……
คืนนั้นเมื่อสิบปีที่แล้ว บนภูเขาเย่นหลิง
สงครามพ่ายแพ้ราวกับภูเขาที่ทลายลง
โล่เฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้แข็งแกร่งในหน่วยอ้านพาเขาฝ่าวงล้อมออกไป
“ท่านอาจารย์ ฝืนทนอีกหน่อย พวกเราใกล้จะออกไปได้ในไม่ช้า คุณเป็นผู้ฝึกอมตะ ไม่ตายแน่”
“ผู้บัญชาการ ท่าไม่ดีแล้ว ปรมาจารย์สองคนและเทียนเซียนหนึ่งไล่ตามมาฆ่าแล้ว”
“ผู้บัญชาการ ทำอย่างไรดี?”
ใบหน้าของเย่ถงเป็นสีเทาราวกับความตาย หลังจากเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เธอก็ส่งโล่เฉินซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะหมดสติไปให้กับคนสนิทของตน และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พานายท่านออกไป ต่อให้พวกนายต้องนาย นายท่านก็ห้ามบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว เข้าใจที่ฉันพูดไหม?”
“ผู้บัญชาการโปรดวางใจ ต่อให้ต้องตายพวกเราก็จะปกป้องนายท่าน”
“อาจารย์ ถงเอ๋อไม่สามารถไปกับท่านได้แล้ว ภาพนั้นมีสิ่งที่ถงเอ๋อต้องการจะพูดกับท่านอยู่ ท่านเห็นแล้วหรือไม่”
ดวงตาของเย่ถงอ่อนโยนอย่างยิ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเย็นชาทันที “พวกนายรีบไปเร็วเข้า ฉันจะหยุดพวกเขา”
“ผู้บัญชาการ นั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกับคุณสามคน แถมคุณก็ได้รับบาดเจ็บ…”
“หยุดพูดไร้สาระ รีบไป!”
เมื่อหลบหนีไปได้สามหรือห้าไมล์
ด้านหลัง ก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นมา
เย่ถงระเบิดตัวเองและตายไปพร้อมๆกัน
……
หลังจากผ่านไปหลายปี ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ โล่เฉินก็รู้สึกลำคอฝืดเคืองพูดไม่ออก
ความรู้สึกของเย่ถงที่มีต่อเขานั้นเขาย่อมรู้อย่างชัดเจน แต่เขาทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะในเวลานั้น ในใจของโล่เฉิน…
อย่าไปพูดถึงเลย
โล่เฉินหัวเราะเยาะตัวเอง คนที่ชอบตนปกป้องตนจนตัวตาย ส่วนคนที่ตนชอบกลับหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์
นี่เป็นกรรมของเขาเลยจริงๆ
“ถงเอ๋อบอกว่าภาพวาดนี้มีคำพูดบางอย่างจะพูดกับฉัน ตอนนั้นเขาไม่สนใจอะไรมากนัก แต่ตอนนี้…” โล่เฉินจดจ่อพลังจิตและมองอย่างระมัดระวัง
เขาแอบถอนหายใจว่าถงเอ๋อช่างมีฝีมือจริงๆ แอบซ่อนลึกขนาดนี้ จนยากจะหาเจอได้
นี่ก็สมเหตุสมผลมากเช่นกัน
ตอนนั้นถงเอ๋อมีความรู้สึกต่อโล่เฉิน แต่ไม่กล้าแสดงออก ดังนั้นจึงได้แต่ซ่อนมันไว้ในภาพวาดเท่านั้น อันที่จริงเย่ถงคิดอยากจะซ่อนมันเอาไว้ตลอดไป ไม่ให้โล่เฉินได้รู้
แต่ว่าโลกยากเกินกว่าจะคาดเดา การต่อสู้บนภูเขาเย่นหลิง เธอรู้ว่าเธอและโล่เฉินคือหยินและหยางไม่อาจประสานได้อีก ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะบอกความลับออกไป
“หรือว่าจะเหมือนกับในละครทีวี ต้องสาดน้ำก่อนถึงจะปรากฏขึ้น?”
โล่เฉินวางภาพวาดลงและถือกาน้ำชา
ขณะกำลังจะสาดน้ำก็มีเสียงด่าดังมาจากข้างหลังว่า “หยุดมือเดี๋ยวนี้นะ!”
“หืม?”
“ไอ้คนชั่ว นี่นายจะทำอะไร”
เหยียนหรูยู่รีบพุ่งเข้ามา ไม่มีท่าทีสง่างามเหลืออยู่อีก และคว้าภาพวาดไปไว้ในอ้อมแขนของเธอ เมื่อพบว่ามันไม่ได้รับความเสียหายก็ค่อยโล่งใจ
สีหน้าของเธอมืดมนและปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง เธอชี้ไปที่ด้านนอกแล้วตะคอกขึ้น “ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้”
“คุณหนูเหยียน ภาพวาดนี้…”
“ฉันบอกให้นายออกไป!”
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ดึงดูดเหยียนเจิงและคนอื่นๆ ให้ที่รีบมาที่นี่
“เกิดอะไร เกิดอะไรขึ้น?
เหยียนเจิงมองไปที่เหยียนหรูยู่ จากนั้นจึงมองไปที่โล่เฉินอีกครั้ง สายตาของเขาตกลงไปที่กาน้ำชาในมือของโล่เฉิน จากนั้นจึงอย่างพูดตะกุกตะกักว่า “ลูก….ลูกพี่ นี่นายคิดจะ….สาดน้ำใส่ภาพหรือ?”
“ใช่ ในภาพนั่นมีความลับอย่างหนึ่งซ่อนอยู่”
ฟู่
ทันใดนั้นหนังศีรษะของเหยียนเจิงก็ชาขึ้นมา
เขารู้ซึ้งถึงความสำคัญของภาพวาดนี้ต่อเหยียนหรูยู่ เมื่อห้าปีที่แล้วเธอออกไปเที่ยวและบังเอิญหยิบภาพนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นเธอก็ถูกครอบงำ
เมื่อมีเวลาเธอก็มักจะจ้องมองภาพนี้ทุกครั้ง อีกทั้งบางครั้งจะนอนก็ยังวางมันเอาไว้ข้างหมอน
ครั้งหนึ่งเคยมีคนใช้เข้ามาทำความสะอาดห้องและย้ายภาพนี้ไป เหยียนหรูยู่ที่แต่ไหนแต่ไรใจดีและอ่อนโยนต่อคนรับใช้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และแทบจะเกือบหักมือและเท้าของคนรับใช้ทิ้ง
ตอนนี้ จิ่งเทียนถึงกับต้องสาดน้ำลงบนภาพ
นี่มันบ้าไปแล้ว
“น้องสาว ใจเย็นๆ พี่เทียนไม่รู้ความสำคัญของภาพวาดนี้ที่มีต่อเธอ ยกโทษให้เขาเถอะ ยังไงเสียมันก็ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้น!”
เหยียนหรูยู่เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ใครใช้นายเข้ามาในห้องชั้นในของฉัน! ต่อให้เป็นเศษกระดาษแผ่นหนึ่ง หากฉันไม่อนุญาต นายก็แตะต้องมันไม่ได้ นายไม่มีการศึกษาหรือไง ไม่รู้จักมารยาท!”
“แต่ภาพวาดนี้มีความลับอยู่จริงๆ”
“ถ้ามีความลับแล้วฉันจะไม่รู้หรือไง ฉันมองมันมาห้าปีเต็มๆแล้ว ไม่มีใครเข้าใจภาพนี้มากไปกว่าฉัน” เหยียนหรูยู่กล่าวอย่างเย็นชา
โล่เฉินยิ้ม
นี่คือสมบัติของเย่ถง เขาละอายใจต่อเย่ถง ดังนั้นภาพนี้จึงต้องมาได้ภาพนี้ให้ได้ นอกจากนี้ เขายังต้องการรู้ว่าเย่ถงอยากจะบอกอะไรกับเขากันแน่
“ภาพนี้ให้ฉันเถอะ”
“นายพูดอะไรนะ?” สีหน้าของเหยียนหรูยู่แข็งค้าง
เหยียนเจิงมุมปากกระตุก ขณะที่คิดจะเข้าไปห้ามปราม เขาก็ได้ยินโล่เฉินพูดขึ้นอีกว่า “นั่นเพราะร่างคนในภาพวาดนี้คือฉัน ครั้งหนึ่งเคยมีคนวาดมันแล้วมอบให้ฉัน แต่ฉันทำมันหายโดยบังเอิญ”
ตอนนั้นสงครามนองเลือดวุ่นวาย ที่พักของเขาในภูเขาเย่นหลิงก็ถูกทำลายลงเช่นกัน
แต่เดิมเขาคิดว่าภาพวาดนั้นถูกทำลายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยังอยู่ และที่ไม่คาดคิดไปกว่านั้นก็คือเหยียนหรูยู่เป็นคนได้มันไป โชคชะตาช่างเล่นตลก
“ในเมื่อเธอได้มันมา อย่างนั้นฉันเองก็จะไม่ใช้กำลังแย่งคืน บอกมาว่าเท่าไหร่ เธอเอ่ยปากมา”
โล่เฉินจริงจัง
เหยียนหรูยู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอรู้สึกว่าโล่เฉินกำลังดูหมิ่นทำให้เธออับอาย
“หยุด หยุด หยุด”
เหยียนเจิงรู้ว่าน้องสาวของเขาใกล้จะระเบิดแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำแข็งใจเข้ามาแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง “พี่เทียน ภาพวาดนี้สำคัญมากต่อน้องสาวของฉัน พูดโดยสรุปก็คือเป็นไปไม่ได้ที่จะขายมัน นายออกมากับฉันก่อน พวกเราค่อยๆคุยกัน”
“แต่…”
“ลูกพี่ ออกไปคุยกันเถอะ” เหยียนเจิงใช้กำลังดึงโล่เฉินออกไป
ในห้อง เหยียนหรูยู่ ค่อยๆสงบลง
เธอค่อยๆ กางม้วนภาพออก สายตามองไปที่ด้านหลังของผู้แข็งแกร่งในภาพสายตาชื่นชม นัยน์ตาแสดงความหลงใหลหมกมุ่นบนปากพึมพำกับตัวเอง
“มีคนเช่นนี้อยู่ในโลกงั้นหรือ เฉกเช่นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ มองเห็นทุกสรรพสิ่ง?”
“นี่ต่างหากคือผู้สูงสง่าอย่างแท้จริง”
“หากมีจริง และได้เป็นผู้หญิงของเขา…ไม่สิ ฉันไหนเลยจะคู่ควร แค่ได้พบหน้าสักครั้ง ฉันก็พอใจแล้ว”
เหยียนหรูยู่ถอนหายใจ
เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของโล่เฉิน เธอก็รู้สึกว่าเทพบุตรของตนได้รับการดูหมิ่น ความโกรธพุ่งขึ้นมาทันที
“ไอ้สารเลวนั่นหน้าไม่อายจริงๆ ถึงกับกล้าบอกว่าคนในรูปเป็นเขา ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านแบบนี้มาก่อน”