Sign in Buddha’s palm 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ
ในโถงใหญ่มีบรรยากาศที่มืดมน
เหล่าจอมยุทธในพรรคมารต่างตื่นตระหนก
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีพวกเขา
“เช่นนี้ใช่หมายความว่าวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่หรือ?” ผู้อาวุโสกล่าวคำออกไปอย่างขื่นขม
เมื่อกี้เขาพูดออกอย่างโหดเหี้ยมว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าเอ่ยถึงมันอีก
การที่วัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งกับการไม่มียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ท่านประมุข ท่านเป็นอันใดหรือไม่?” หญิงร่างอวบมองตรงไปที่ชายในชุดม่วงแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เป็นอะไร”
ลมหายใจของชายในชุดคลุมสีม่วงกลับมาสงบ “แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งแต่การจะสังหารข้าด้วยเพียงดัชนีจากพื้นที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้มันเป็นไปไม่ได้”
น้ำเสียงของชายในชุดม่วงมีความมั่นใจมาก
เดิมทีเขาเป็นปรมาจารย์วิชายุทธอยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง หากเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ไขว่คว้าการก้าวข้ามไประดับชั้นที่หนึ่งโดยเร็วที่สุดก็คงไม่เดือดร้อนตนเองที่ต้องเที่ยวหา‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองทั่วๆ ไปเลย
“ในเมื่อวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และพรรคมารของเราก็ได้รับคำเตือนมาแล้ว แผนการจำต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย” ชายในชุดคลุมสีม่วงเดินกลับไปยังบัลลังก์แล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อเหล่าจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ พวกมันต่างก็ผ่อนคลายลง
ห้าสิบปีก่อน ประมุขพรรคคนก่อนล้มเหลวในการตัดผ่านขั้นไปยังขอบเขตตำนานยุทธและตายลง ห้าสิบปีให้หลังการสูญเสียประมุขพรรคทำให้กำลังของพรรคมารแห่งนี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
หากไม่ใช่เพราะประมุขพรรคมารในยุคนี้นั้นแข็งแกร่งพอ พรรคมารในปัจจุบันคงเป็นเพียงเหมือนกับหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนระวังคนจะมาทุบตี
แต่กระนั้นก็ไม่มีใครต้องการจะเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี
“เช่นนั้นแล้วท่านประมุขพรรคจะทำอย่างไรต่อไป?” หญิงร่างอวบกล่าวถาม
“ในเมื่อวัดเส้าหลินไม่มีที่ให้ไป ฉะนั้นจงไปที่เขาจู้หยาง[1]”
“เขาจู้หยาง?”
จอมยุทธพรรคมารหลายคนในโถงต่างมองหน้ากันไปมา
เมื่อเทียบกับสุดยอดพรรคที่มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปีอย่างวัดเส้าหลิน ขุนเขาจู้หยางมีพื้นฐานตื้นเขินกว่ามาก
อย่างไรก็ตามเขาจู้หยางนั้นมีรากฐานมาจากบรรพบุรุษที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าในยุคนี้เขาจู้หยางค่อนข้างอ่อนแอและไม่ได้มีระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยังมีสิ่งดีๆ มากมายด้านใน
“ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยการสละเลือกจากศิษย์นับพันในขุนเขาจู้หยาง!”
สายตาสะกดข่มรุนแรงสาดประกายออกมาจากตาของชายชุดม่วงยามเมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา
…
ที่วัดเส้าหลิน
เป็นเรื่องปกติที่ซูฉินจะไม่อาจรู้ได้ว่าการกระทำของเขา ทำให้ขุนเขาจู้หยางกำลังจะถูกทำลายลง
ตอนนี้ซูฉินได้กลับมาที่ลานจิปาถะแล้ว
เมื่อพลังไร้ลักษณ์ที่เขาแฝงเอาไว้ในร่างของเงาดำได้ระเบิดออก ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้
“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนี่ทั้งมองไม่เห็นและไร้ตัวตน จากใจจริงๆ ขอยกย่องว่าวิชานี้เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงของวัดเส้าหลิน”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ
สิบปีที่ผ่านมา ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน และรับวิชาชั้นสูงไปมากมายจนนับไม่ไหว แต่ของอย่างเช่นดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนั้นจัดว่าหายาก
“แต่ว่า นี่ข้าก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้วนะ ทำไมยังใช้ [ฝ่ามือยูไล] ไม่ได้อีกล่ะ?”
ซูฉินนวดหัวคิ้วทั้งสองข้างพลางคิดอย่างหมดหนทาง
ในฐานะที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลินที่แกร่งที่สุดและเป็นวิชาแรกที่เขาได้รับมา ซูฉินย่อมคาดหวัง [วิชาฝ่ามือยูไล] เอาไว้ใหญ่โต
ในตอนที่เขาอยู่ในสามระดับล่าง และสามระดับกลางซูฉินคิดว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอและไม่ถึงขีดจำกัดขั้นต่ำในการใช้ [ฝ่ามือยูไล]
แต่ตอนนี้
ซูฉินมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว
ถ้าเพียงได้ลองมองไปในใต้หล้า เขาย่อมเป็นตัวตนระดับต้นๆ
แต่องค์ยูไลสีทองที่เป็นตัวแทนของ [ฝ่ามือยูไล] ก็ยังประทับอยู่ที่หว่างคิ้วของเขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงที่มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในขั้นอรหันต์ถึงจะสามารถใช้ได้?”
ซูฉินคาดเดาในใจ
ตามจริงแล้วข่าวสารที่ซูฉินได้ยินมาในช่วงสิบปีนี้ ว่ากันว่าแม้แต่ในช่วงเก้าร้อยปีก่อน ตอนที่ [ฝ่ามือยูไล] ยังไม่สูญหายไปก็แทบจะไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาอันทรงพลังนี้ได้
“ลืมมันไปซะ ไม่คิดแล้ววุ้ย”
ซูฉินส่ายหัว ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป
ครึ่งเดือนต่อมา ซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง กวาดลาน แล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ไปด้วย
หลังจากเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่วัตถุดิบชั้นยอดและสมบัติระดับโลกที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้งานผลักดันให้เขาเข้าใกล้หนทางสู่ระดับอรหันต์อย่างเป็นลำดับ
ในวันนี้ซูฉินวางแผนว่าจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ พลันได้ยินศิษย์คนอื่นกระซิบกระซาบกันเสียก่อน
“ข้าได้ยินมาว่าพรรคมารบุกโจมตีขุนเขาจู้หยางแล้วละเลงทั้งเขาด้วยเลือด เรื่องนี้จริงใช่ไหม?”
“โอย ในยุทธภพนี่มันช่างไม่สงบสุขเอาเสียเลย ช่วงนี้ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรและก็มีข้อพิพาทกันไปทั่วยุทธภพเลย”
“นี่ตามที่ได้ยินข่าวลือมานะ มีการปรากฏตัวของอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีที่เขาอู๋ตั้งด้วย เขาเดินพลังตามแนวทางของไท่ฉีได้ภายในสามชั่วโมงนักพรตจางถึงขนาดออกหน้าเป็นการส่วนตัวแล้วรับเขาเป็นศิษย์สายตรง”
“นั่นมันสุดยอดมาก นักพรตจางคือสุดยอดในหมู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ลูกศิษย์สายตรงของเขาเกือบทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในสามระดับบนกันหมดแล้ว”
ศิษย์ของลานจิปาถะต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างตื่นเต้น
นี่ถือว่าเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่งของศิษย์ลานจิปาถะ
ไม่เหมือนกับตำหนักอื่นๆ ลานจิปาถะไม่จำเป็นต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นในเวลาว่างพวกศิษย์ต่างก็จับกลุ่มพูดคุยเรื่องความเป็นไปในยุทธภพ
“นี่ยังมีอีกนะ มีคนบอกว่าทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว”
“อะไรนะ? มีดบินเสี้ยวหลี่? นี่เจ้ากำลังกล่าวถึงมีดบินเสี้ยวหลี่คนนั้นน่ะรึ?”
“ถูกต้องแล้ว ทายาทของเสี้ยวหลี่ใช้มีดบินฆ่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนได้ สร้างความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่เชียวล่ะ”
“ไม่ใช่แค่เรื่องของมีดบินเสี้ยวหลี่นะ ยังมีอารามวัชระ เป็นอีกหนึ่งแห่งในนิกายพุทธที่มีชื่อเสียงพอๆ กับวัดเส้าหลิน และยังมียูไล…”
…
…
ซูฉินฟังการสนทนาเหล่านั้นไปเพลินๆ
ทุกวันนี้ความวุ่นวายมีอยู่นับไม่ถ้วน ผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธตกตายรายวัน และพรรคน้อยใหญ่หลายแห่งถึงกับสาบสูญ……
ส่วนวัดเส้าหลินที่เป็นสุดยอดพรรคมีความเป็นมายาวนาน อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครมารบกวนในเร็ววัน
ซูฉินได้แต่รู้สึกว่าทางเลือกของเขาที่จะอยู่ที่นี่นั้นถูกต้องยิ่ง
ก็แค่ลงชื่อเข้าใช้อย่างซื่อตรงไม่หยุดพักภายในวัด รอจนกว่าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานค่อยออกไปเผชิญยุทธภพ
สมบูรณ์แบบ
“ด้านนอกมันอันตรายเกินไป”
ซูฉินค่อยๆ เดินตรงไปยังลานโพธิ์
ไม่ว่าจะอัจฉริยะของหุบเขาตระกูลอู๋ตั้งที่ฝึกฝนไท่ฉีเอย ทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่เอย หรือจะเป็นยูไลของวัดวัชระ พวกเขาเหมือนได้รับพรจากสวรรค์
พวกเข้าได้รับการฝึกสอนโดยพรรคโดยสำนัก หรือบางคนก็มีบรรพบุรุษคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน กลับกันซูฉินก็เป็นเพียงพระกวาดลานในเส้าหลิน
เขาไม่ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนจากใคร เขาไม่มีบรรพบุรุษคอยเกื้อหนุน
“ในการฝึกฝนวิชายุทธ ทรัพยากรภายนอกนั้นสำคัญมาก ถึงแม้พรสวรรค์จะสูงส่งไร้เปรียบเพียงใด ถ้าขาดซึ่งทรัพยากรแล้วล่ะก็ ความสำเร็จในอนาคตย่อมถูกจำกัด”
“ถึงแม้ว่าตัวข้า ซูฉิน จะโดดเดี่ยวและไม่มีผู้ใดเกื้อหนุน ข้าก็ยังพึ่งพาความพยายามของตนเองในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ และข้านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ใด!”
ซูฉินได้มาหยุดที่หน้าลานโพธิ์
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”
———————————————————————————————————————-
[1] เขาจู้หยาง – คือภูเขาหยางอันยิ่งใหญ่ มาจากสามคำคือ 巨 – จู้ = ยิ่งใหญ่
阳 – หยาง = พระอาทิตย์หรือพลังของฝ่ายชายซึ่งตรงข้ามกับพลังหยินของฝ่ายหญิงในทางเต๋า
และ山 – ซาน = ภูเขา