เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 29

ตอนที่ 29

Sign in Buddha’s palm 29 พลังศักดิ์สิทธิ์

“นี่ข้าได้รับโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์จริงๆ น่ะหรือ?”

ซูฉินดูมีความสุขเหลือล้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ตั้งแต่ที่เขากลายมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไปแล้วกี่เม็ดเพื่อสั่งสม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ในร่าง

แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยน่าพอใจนัก

แม้ว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขาจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

ดูเหมือนว่าการจะควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มี

เดิมทีซูฉินวางแผนจะใช้เวลาหลายสิบปีในการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างช้าๆ

แต่ตอนนี้หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้ แล้วมี ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ เด้งออกมาจากระบบ ซูฉินก็ตระหนักได้ในทันทีว่าคงใช้เวลาอีกไม่นานแล้ว

“อย่าได้เป็นกังวลๆ”

“ก่อนที่จะกลืน ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ควรจะต้องปรับสภาพตนเองให้ถึงพร้อมที่สุดเสียก่อน”

ซูฉินไม่ได้รีบใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ในทันที แต่สงบใจลงพิจารณารายละเอียดยิบย่อยของการ กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในส่วนของตน

แม้ว่า ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ จะช่วยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

แต่สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดคือซูฉินต้องพึ่งพาตัวของตัวเอง ไม่ว่า ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ จะมีสรรพคุณคับฟ้าเพียงไร แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงส่วนเสริม

แล้วก็

ในบางกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากคือมีบางสิ่งผิดพลาดขณะกลั่นจิตสัมผัสจนทำให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย ผลกระทบที่ตามมาย่อมทบต้นไปไม่มีสิ้นสุด

หากร่างกายเสียหาย สามารถดูแลให้มันฟื้นฟูอย่างช้าๆ หรือไม่ก็รับโอสถตามอาการ

แต่ถ้าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย มีเพียงแต่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

ด้วยความคิดแบบนี้ซูฉินจึงตัดสินใจว่าระหว่างนี้นอกจากลงชื่อเข้าใช้ตามปกติแล้ว เขาควรจะชะลอการบ่มเพาะลงเสียหน่อยแล้วไปเตรียมความพร้อมก่อนจะใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘

จากนั้น

ชีวิตก็ดำเนินเรื่อยไปตามที่ควรจะเป็น

ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปโบราณ หรือจะโคมไฟสีน้ำเงินในวัดเส้าหลินล้วนทำให้ซูฉินไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

สิ่งที่แตกต่างไปจากแต่ก่อน ก็คงจะเป็นองค์หญิงราชวงศ์ถังตัวน้อยที่ดูจะติดซูฉินไม่น้อย เมื่อใดที่ซูฉินเดินผ่านป่าไผ่ นางมักจะแอบติดตามเขาไปตลอด

ตั้งแต่ที่ซูฉินได้โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์มา ก็ทำให้อยู่ในอารมณ์ที่เบิกบานยิ่ง หากไม่มีอะไรต้องไปทำ เขาก็มักจะสนทนากับองค์หญิงตัวน้อยเพื่อฆ่าเวลา

ในระหว่างที่พูดคุยกัน ซูฉินก็ได้รู้เรื่องราวความลับในวังเพิ่มมาบ้างจากองค์หญิง

ตามคำอธิบายจากองค์หญิงราชวงศ์ถัง องค์จักรพรรดิถังไม่ได้ทำงานราชการอีกต่อไปและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี

ในพระราชวังองค์ชายแต่ละพระองค์ก็ล้วนมีความคิดอ่านที่แตกต่างกันออกไป หลายคนก็สั่งสมกองกำลังมีความคิดที่จะฉวยโอกาสยึดอำนาจ

เป็นไปได้ว่าเมื่อใดที่องค์จักรพรรดิถังสวรรคต เจ้าชายเหล่านี้จะต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเต็มที่เพื่อยศฐา

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หาได้เกี่ยวข้องกับซูฉินไม่

ซูฉินจะไม่แม้แต่หันไปมองซ้ำ ไม่ว่าจะเลือดชโลมเต็มผืนฟ้า หรือท่วมพื้นพสุธา

“พระตัวน้อย ข้านั้นไม่ชอบสถานะการเป็น ‘องค์หญิง‘ เสียจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็มิอยากใช้แซ่ลี่”

เด็กหญิงตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

“ไม่อยากจะใช้แซ่ลี่?”

ซูฉินหันมององค์หญิงด้วยสายตาประหลาดใจ

ต้องทราบว่าแซ่ลี่ เป็นชื่อสกุลของเชื้อพระวงศ์ ไม่รู้ว่ามีกี่คนกันที่ปรารถนาจะใช้ชื่อสกุลนี้เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในก้าวเดียวแล้วกลายเป็นขุนนาง

“แล้วเจ้าอยากจะใช้ชื่อสกุลว่าอะไร?”

ซูฉินถามออกอย่างไม่ได้จริงจังนัก

เด็กหญิงตัวเล็กจับไปที่แก้มของตน คิดอยู่สักพักก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าชื่อสกุลของข้านั้นควรจะเป็น อู่”

“อู่?”

ซูฉินทวนถาม

“ถูกต้อง เพราะข้าต้องการจะเป็นยอดยุทธที่แท้จริง และกำหนดโชคชะตาของข้าด้วยตัวข้าเอง” เด็กหญิงตัวเล็กกำหมัดแน่น

“พระตัวน้อยแล้วเจ้าล่ะอยากจะเป็นอะไรในอนาคต?”

เด็กน้อยถามขึ้นอย่างกะทันหัน

“ต้องการจะเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งและจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ผู้ไร้พ่ายในใต้หล้า!”

“อุ๊ฟ!”

เด็กหญิงแทบกลั้นขำไม่อยู่

ไร้พ่ายในใต้หล้า?

ก็รู้อยู่ว่าแม้กระทั่งขันทีชุดม่วงที่คอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิถังและใช้ความแข็งแกร่งของตนข่มขู่ขุนนางและองค์ชายจนหงอก็ไม่กล้าที่จะอวดอ้างว่าตนไร้พ่ายในใต้หล้านี้…….

เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว

สามเดือนต่อมา

“คืนนี้แหละ ข้าคงสามารถใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ได้แล้ว”

ซูฉินนั่งไขว้ขา กลืน ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ลงไปหนึ่งเม็ด

‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ละลายในปากก่อนจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ซูฉินไม่ได้แปลกใจกับการหายไปนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นโอสถที่มีผลเฉพาะกับพลังศักดิ์สิทธิ์ กายเนื้อนั้นไม่สามารถดูดซึมมันได้

ฟู่!

ชี่!

ซูฉินรู้สึกว่า‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘กลายเป็นกระแสพลังหมุนวนห่อหุ้ม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ พยายามบีบอีดและกลั่นพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง

เป๊ง!!

ในขณะที่ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ยังคงกลั่นตัวอยู่ จิตวิญญาณที่มองไม่เห็นก็เกิดความผันผวนกระจายแผ่ไปทั่วทั้งตัว

ครู่ต่อมา!

ตูม!!!

จิตวิญญาณของซูฉินพลันคำรามก้องและ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ถูกบีบอัดมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นจุดเดียว ในที่สุดก็ระเบิดออกกลายเป็นพลังที่มองไม่เห็นกวาดไปทั่วทุกสารทิศ

ถึงความผันผวนนี้จะมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้แต่มันมีอยู่จริง

“ในที่สุดก็กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้…”

ซูฉินค่อยๆ เลื่อนเปิดเปลือกตาขึ้น

ในตอนนี้โลกตรงหน้าของเขาแตกต่างจากที่เคยเห็นมาก่อน

ภายในรัศมีรอบตัวหลายสิบฟุต หญ้า พืชพรรณ ดอกไม้ และใบไม้ล้วนตกอยู่ในสายตาของซูฉิน

เมื่อเทียบกับความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขารู้สึกว่าเขาแทบจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขอบเขตรอบตัวได้

“ไหนมาลองดูขอบเขตของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หน่อยซิว่ากว้างไกลเพียงใด”

เมื่อความคิดสั่งการ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมรอบร่างกายค่อยๆ แผ่ออกไปทั่วทิศอย่างช้าๆ

หลังจากทดสอบอยู่ช่วงสั้นๆ ซูฉินก็พบว่าสำหรับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระยะที่ดีที่สุดคือสิบฟุตรอบตัวของเขาเอง

สำหรับระยะทางที่ไกลออกไปจิตสัมผัสจะเริ่มพร่าเลือนลง

“แผ่ขยายออกไปอีก!”

ซูฉินต้องการจะทดสอบขีดจำกัดด้านระยะของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

ฉับพลัน

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเหมือนกันคลื่นที่มองไม่เห็นข้ามผ่านอากาศกวาดไปทั่วทิศทาง

ในช่วงเวลานี้ลานจิปาถะ เนินเขาเล็กๆ รวมถึงป่าไผ่ที่พระชายาลี่เฟยพักอาศัยก็ถูกกวาดผ่านด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

ด้านในป่าไผ่

ในห้องใต้หลังคาที่งดงาม

ใบหน้าของพระชายาลี่เฟยซีดเซียว ตัวของเธอนอนพิงอยู่กับเตียง

มีม่านกั้นลงมาคลุมปิดมิดชิด ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นได้เพียงเงาร่างที่คลุมเครือ

“ไอ้บัดซบนั่น!”

ดวงตาของพระชายาลี่เฟยเย็นชายิ่ง เค้นคำพูดออกมาตามไรฟัน

“พระชายาโปรดอย่ามีโทสะไปเลย!”

หงกงกงรีบปรามพระชายา “ถึงพิษของดอกลำโพงม่วงจะถูกระงับเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด หากพระชายาโกรธมันอาจจะไปกระตุ้นพิษขึ้นมาได้…”

เมื่อคำได้กล่าวออก

พระชายาลี่หลับตาลงและเมื่อเธอลืมตาอีกครั้งก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ข้าเข้าใจแล้ว”

“วัดเส้าหลินเป็นเยี่ยงไร ที่นี่มีภัยคุกคามใดหรือไม่?”

พระชายาลี่เฟยถามตรงๆ

“ไม่ต้องกังวลไปพระชายา” หงกงกงกล่าว “ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้สำรวจวัดเส้าหลินมาตลอดช่วงสองสามเดือนมานี้ ยกเว้นไว้แต่พื้นที่ต้องห้ามไม่กี่แห่ง เช่น ภูเขาด้านหลัง ก็ไม่มีอันตรายอื่นอีก”

“วัดเส้าหลินในยุคนี้มีเพียงระดับชั้นที่สองและนั่นก็คือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ข้ารับใช้ชราผู้นี้สามารถที่จะกำราบมันได้ภายในยี่สิบกระบวนท่า และสามารถสังหารมันได้ภายในร้อยกระบวนท่า!”

หงกงกงอธิบายเพิ่มเติมอย่างช้าๆ

“ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ยุคนี้กลับเสื่อมถอยลงโดยสมบูรณ์”

“ที่เรียกขานกันว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาทองมาแปะติดใบหน้าให้ดูขลังก็เท่านั้น”

หงกงกงส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม

อย่างไรก็ตาม

ในช่วงเวลาถัดมา

คลื่นแห่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนผ่านเข้ามาแล้วกวาดซัดไปทั่วห้องใต้หลังคาในชั่วพริบตา

พระชายาลี่เฟยย่อมไม่สังเกตเห็นอะไร

แต่การแสดงออกของหงกงกงเปลี่ยนผันไปอย่างมาก

“นี่คือ?!!”

ทันใดนั้นหงกงกงก็ตัวตั้งตรงราวกับว่าได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ

“ความผันผวนของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

“นี่คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

หงกงกงตัวแข็งเกร็งและสั่นเทิ้มอยู่หลายครั้งหลายครา

——————————————————–

คาดเดาว่าพระชายาลี่เฟย คือชื่อตำแหน่งของสตรีในวังหลังในสมัยถังเสวียนจง ซึ่งเป็นระบบซานฟูเหริน มีพระชายาขั้นที่ 1 ชั้นเอก สามตำแหน่งและลี่เฟยก็เป็นหนึ่งในสามตำแหน่งนั้น ทั้งนี้ยังมีลำดับขั้นที่รองลงจากนี้คือพระสนมชั้นเอกอยู่อีกเก้าตำแหน่ง จึงขอเปลี่ยนแปลงคำเรียกขานจากพระสนมลี่เฟยเป็นพระชายาลี่เฟยแทน

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท