เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 45

ตอนที่ 45

Sign in Buddha’s palm 45 กำเนิดจากรัศมีพุทธ

คฤหาสน์ตระกูลซู

ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วทั้งงาน

จอมยุทธหลายคนต่างพูดคุยกันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

“กรุณาอยู่ในความสงบ”

ซูชื่อหมินยืนขึ้น ยกมือแผ่ไอพลังของจอมยุทธระดับชั้นที่ห้าออกมา

ทันใดนั้น

ทุกคนก็นิ่งเงียบ

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตระกูลซูถึงเลือกลูกเขยเป็นคนธรรมดาเช่นนี้ แต่ในเมื่อซูชื่อหมินได้ตัดสินใจไปแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ในบรรดาผู้คนทั้งหมด มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่มีท่าทีแปลกๆ

“โชคชะตาบ้านเมือง?”

“เหตุใดโชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรต้าถังถึงหนึ่งส่วน[1]จึงมุ่งไปที่เขา?”

ดวงตาแห่งสัจจะของซูฉินสังเกตเห็นพลังฉีทั้งหมด เขารู้ดีว่าโชคชะตาระดับชาติที่แสนลึกลับได้ซุกซ่อนอยู่ในร่างของเจ้าบ่าว

“จักรพรรดิถังยังไม่เสด็จสวรรคต โชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรถังก็ยังไม่สูญสลาย นอกจากนี้แม้ราชวงศ์ถังจะล่มสลายจริง โชคชะตาบ้านเมืองก็ควรจะถูกตรึงไว้กับกลุ่มตระกูลหลี่ พวกราชวงศ์เหล่านั้น…”

ความคิดของซูฉินแปรผันไปมากมายและมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา

ในจดหมายที่ส่งมาจากตระกูลซู เขารับรู้อยู่แล้วว่าคนที่น้องสาวจะตบแต่งด้วยนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา

คนธรรมดาจริงๆ

ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ฐานะของเขาก็ต่ำต้อยเมื่อเทียบกับตระกูลซูที่สูงสง่า มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้ทั้งสองคนมาข้องเกี่ยวกันได้

แต่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้เต็มใจจะแต่ง

นอกจากนี้แม้ซูชื่อหมินจะไม่เห็นด้วยแต่เขาก็ไม่คิดจะบังคับลูกสาวคนเล็ก

เดิมทีซูฉินที่ทราบว่า ‘พี่เขย‘ ของเขาเป็นแค่คนธรรมดา ซูฉินก็ไม่คิดต่อต้านเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตมาแล้วถึงสองชีวิต ซูฉินเปิดกว้างเสมอตราบเท่าที่น้องสาวของเขามีความสุข

แต่ตอนนี้

สายตาของเขาสำรวจไปยังร่างของเจ้าบ่าวอย่างต่อเนื่อง

“โชคชะตาบ้านเมืองที่มากมายขนาดนี้ แม้แต่เหล่าองค์ชายก็ไม่ได้มีมากถึงขนาดนี้แน่”

ซูฉินไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไม่กี่ปีก่อน ลี่เฟยจากตำหนักในราชวงศ์ถังลี้ภัยมายังวัดเส้าหลินพร้อมกับลูกสาวของพระนาง ซูฉินก็ได้มองบุตรีของพระชายาลี่เฟยด้วยดวงตาแห่งสัจจะเช่นกัน

องค์หญิงตัวน้อยก็แบกโชคชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ถังเอาไว้เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเจ้าบ่าวตรงหน้าแล้วมันต่างชั้นกันจนเกินเอื้อม

“ตอนนี้จักรพรรดิถังพระชนมายุมากแล้ว องค์ชายแต่ละคนก็กำลังต่อสู้กันทั้งในที่โล่งและในที่ลับ สายตาทุกผู้ทุกคนมุ่งเป้าไปยังราชบัลลังก์”

“ขุนนางและข้าราชบริพารต่างก็วางเดิมพันในตัวองค์ชาย และสนับสนุนองค์ชายสักคนเพื่อแลกกับความดีความชอบในภายหลัง”

“ชนชั้นปกครองทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นต่างเชื่อว่าในอนาคตผู้ที่ได้นั่งบัลลังก์จะต้องเป็นหนึ่งในองค์ชายเหล่านี้”

ความคิดของซูฉินยิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น

“ตอนนี้ดูเหมือนว่า…”

“จิ้งจอกเฒ่าอย่างจักรพรรดิถังไม่เคยคิดที่จะให้องค์ชายเหล่านั้น[2]ได้สืบทอดบัลลังก์…”

ซูฉินมองไปที่หน้าของเจ้าบ่าวที่ดูเหมือนจะกำลังเขินอายกับสถานการณ์ตรงหน้า เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกไขออกต่อหน้าต่อตาของเขาแล้ว

มีเพียงสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นถึงจะมีโชคชะตาแห่งบ้านเมืองสถิตอยู่ได้

แม้ว่าซูฉินจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าบ่าวที่อยู่ตรงหน้านั้นจึงมาปรากฏตัวที่เมืองคังโจวได้

แต่เลือดของเชื้อพระวงศ์จะต้องไหลเวียนอยู่ในกายของอีกฝ่ายเป็นแน่

และเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังจะรู้เรื่องที่องค์ชายคนหนึ่งได้มาอาศัยอยู่ท่ามกลางปุถุชนอยู่แล้ว

มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายที่แสนจะธรรมดาแบบนี้จะมีโชคชะตาบ้านเมืองใหญ่โตเพียงนี้

แต่ที่จักรพรรดิถังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการซ่อนตัวตนของเขาจากทุกคนนั้น ความเป็นไปได้นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว

นั่นก็คืออยากจะส่งต่อราชบัลลังก์ให้กับเขา

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง

หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เจ้าบ่าวที่อยู่ท่ามกลางสายตาของเหล่าจอมยุทธในขณะนี้จะกลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังในอนาคตอันใกล้ คุมกองทัพเรือนหมื่นคน

“โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คน…”

ซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ด้วยประชากรหลายร้อยล้านคนในต้าถัง น้องสาวของเขาไม่เพียงได้พบว่าที่องค์จักรพรรดิที่อาศัยอยู่ท่ามกลางปุถุชนเท่านั้น ยังได้เข้าพิธีแต่งงานร่วมกันอีก

เกรงว่าจักรพรรดิถังจะไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น

หรือกล่าวได้ว่าถึงจักรพรรดิถังจะรู้เรื่องนี้พระองค์ก็มิทรงสนใจ

“เนื่องจากทั้งหมดนี่เป็นแผนการขององค์จักรพรรดิถัง ฉะนั้นพระองค์ควรจะต้องส่งองครักษ์เงามาด้วย”

ซูฉินเปิดใช้ดวงตาแห่งสัจจะมองหาไปทุกทิศทาง

แล้วก็พบจริงๆ

ห่างออกไปไม่กี่ลี้ มีไอพลังจางๆ แฝงตัวอยู่

กลิ่นอายเช่นนี้คล้ายคลึงกับหงกงกงที่เคียงข้างพระนางลี่เฟย แต่แข็งแกร่งกว่าหงกงกงมาก

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็สบเข้ากับเจ้าบ่าวอีกครั้งหนึ่ง

“ข้าไม่ควรไปล่วงรู้ตัวตนของเขา”

ซูฉินคิดอยู่ในใจเงียบๆ

จักรพรรดิถังปิดบังเรื่องนี้ ใต้ผืนฟ้านี้ มันจะต้องจ่ายไปอย่างมหาศาลแน่ๆ เขาจะต้องระมัดระวังตนเองไม่น้อย

และในขณะนี้

เจ้าบ่าวยืนอยู่เบื้องหน้าซูเยว่หยุน พร้อมที่จะคารวะฟ้าดิน

“แม่นางหยุน”

เจ้าบ่าวมองไปที่ซูเยว่หยุนด้วยสายตาที่แน่วแน่และเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถมากนัก แต่ข้าหลี่เชิงสาบานไว้ ณ ที่แห่งนี้ วันหนึ่งเจ้าจะไม่เสียใจที่แต่งงานกับข้า”

ซูเยว่หยุนเม้มริมฝีปากและยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

ซูฉินมองจากระยะไกล มองออกไปและยืนยันได้ว่าน้องสาวของเขาชื่นชอบคนตรงหน้าจริงๆ

“หืม?”

เมื่อซูฉินกำลังจะจากไป เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง และมองไปที่มุมหลืบต่างๆ ของคฤหาสน์ซู

ในมุมมืดนั้นมีจอมยุทธมากกว่าโหลที่เกร็งกำลังภายในไว้จนสุด พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

“การลอบสังหาร?”

คิ้วของซูฉินขมวดเข้าหากัน

นักรับมากกว่าโหลเหล่านี้ล้วนอยู่ในสามระดับกลาง และมีถึงสองคนที่อยู่ในสามระดับบน

“มันพุ่งเป้ามาที่ตระกูลซูหรือไม่?”

ซูฉินหรี่ตามองและพบว่าเป้าหมายในขณะนี้ไม่ใช่คนในตระกูลซู แต่เป็นเจ้าบ่าวที่อยู่ในพิธี

“มีคนรู้เรื่องแผนการของจักรพรรดิงั้นรึ?”

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

“มันควรจะล่วงรู้เพียงผิวเผิน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ส่งสามระดับบนมา แต่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแทน”

ขณะนี้

“คารวะฟ้าดิน”

คู่บ่าวสาวกำลังคารวะฟ้าดินอยู่

ทันใดนั้น

ที่นี่เวลานี้

ฟิ่ว!

เจตนาฆ่าฟันอันเข้มข้นกระจายไปทั่วคฤหาสน์ตระกูลซู

ชายท่าทางแข็งแกร่งคนหนึ่งที่แลดูเกรี้ยวกราด รีบสาวเท้าเข้าไปหาฝ่ายเจ้าบ่าว

“ช่างกล้า!”

ซูชื่อหมินโกรธขึ้นมาในทันที

เขาเชิญสุภาพชนทุกท่านมาร่วมงานเป็นพิเศษเพื่อใช้โอกาสนี้แสดงความแข็งแกร่งของตระกูลต่อหน้าผู้คนในคังโจว

ถ้างานนี้ถูกขัดขวางและทำลายลง มันจะไม่น่าอับอายต่อหน้าฝูงชนชาวคังโจวหรอกหรือ?

เมื่อซูชื่อหมินกำลังจะออกกระบวนท่า จิตสังหารที่แสนจะเย็นชาก็สกัดเขาเอาไว้

“นี่คือ?”

“สามระดับบน?”

ซูชื่อหมินตัวแข็งทื่อ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

เขาไม่คิดฝันมาก่อนว่าสิ่งใดจะเป็นเหตุให้จอมยุทธในสามระดับบนต้องลงมือ?

ด้วยจิตสังหารของสามระดับบนก็สามารถสะกดซูชื่อหมินเอาไว้ เขารู้สึกว่าหัวใจแทบจะหยุดเต้นและยากนักที่จะขยับเขยื้อน นับประสาอะไรกับการหยุดยั้งมือสังหาร

“ไม่ดีแล้ว!”

หัวใจของซูชื่อหมินสั่นสะท้าน

ในตอนนี้

จอมยุทธคนอื่นๆ ของตระกูลซูก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ต่างรีบวิ่งกันขึ้นไปบนแท่นเวทีอย่างว่องไว พยายามที่จะปกป้องคู่บ่าวสาว

“ตาย!!”

ร่างหลายต่อหลายร่างก็ผุดขึ้นมาอีกจากมุมมืด แสงสะท้อนจากดาบกะพริบวิบวับ จอมยุทธตระกูลซูที่เตรียมตั้งรับก็ถูกหั่นออกเป็นสองท่อนในทันใด

ปึด

เลือดอุ่นๆ ไหลทะลักและปลุกทุกคนในลานให้ตื่นตระหนก

“นักฆ่าที่แข็งแกร่งระดับนี้?”

“ตระกูลซูไปสร้างความขุ่นเคืองให้ใครกัน?”

จอมยุทธหลายคนสั่นสะท้านและเริ่มหนีกระจายกันไปทุกทิศทาง

ภัยร้ายมาถึงจึงต้องแยกย้ายกันหนี

พวกเขามาเพื่อแสดงความยินดีกับตระกูลซูเท่านั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อสละชีวิตตนเพื่อตระกูลซู

หากพลังของมือสังหารไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก จอมยุทธเหล่านี้คงคิดที่จะออกหน้าเพื่อสร้างความโปรดปรานจากตระกูลซูเสียหน่อย

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในโถงพิธีแล้ว มือสังหารเหล่านี้น่ากลัวถึงขีดสุด

หากกล้าเข้าไปขัดขวาง จอมยุทธจากตระกูลซูที่ถูกตัดเป็นสองท่อนคงจะเป็นบทเรียนให้ได้เห็นกันแล้ว

“แม่นางหยุน รีบไป”

ในตอนนี้ เจ้าบ่าวอย่างหลี่เชิงตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน และผลักซูเยว่หยุนออกไป

“ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน”

ซูเยว่หยุนจับแขนหลี่เชิงเจ้าบ่าวของนางเอาไว้

ซู่ว!

ในพริบตา

มือสังหารก็เขามาใกล้ซูเยว่หยุนในระยะน้อยกว่าสิบเมตร

ด้วยความเร็วของมือสังหาร ระยะทางเท่านี้มันเกือบจะเคลื่อนผ่านได้ในชั่วพริบตา

“แม่นางหยุน ทำไมเจ้าต้องทำเยี่ยงนี้”

บนแท่นพิธี เจ้าบ่าวหลี่เชิงยิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่ซูเยว่หยุนที่เกาะแขนเขาไว้แน่น

“มันจบแล้ว”

ห่างออกไปไม่ไกลนัก มือสังหารที่ยับยั้งซูชื่อหมินด้วยจิตสังหารพยักหน้าเล็กน้อย

ตอนนี้

ทุกอย่างเกือบจะถึงบทสรุปแล้ว

มันจึงไม่ต้องเฝ้าดูอีกต่อไป

สำหรับตระกูลเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญเช่นตระกูลซู การพยายามหยุดยั้งพวกมันเท่ากับเป็นความฝันโง่ๆ

แต่ยามเมื่อมือสังหารในสามระดับบนมองผ่านเจ้าบ่าวหลี่เชิงคนที่กำลังหลับตาแน่นเฝ้ารอความตายที่ใกล้มาถึง มันก็เตรียมจะหันหลังจากไป

“เฮ้อ…”

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นข้างหูของมัน

“เป็นผู้ใด?”

มือสังหารสามระดับบนตกใจและเงยหน้าขึ้นทันที

อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นจะเป็นภาพจำที่เขาไม่มีวันลืม

แสงสีทองอ่อนๆ ทอแสงกระจายพลังแห่งพุทธคุณออกมา มือสังหารในสามระดับบนคนนั้นก็มองเห็นร่างคลุมเครือเดินเข้ามา

ร่างคลุมเครือนั้นอยู่ท่ามกลางแสงแห่งพุทธคุณ และมีภาพมายาเป็นดอกบัวสีทองเบ่งบานออกช้าๆ พร้อมกับเสียงธรรมที่มีมนต์ขลัง คนด้านในเดินอย่างเคร่งขรึมมาทางมันทีละก้าวๆ

ราวกับเขากำเนิดมาจากแสงแห่งพุทธานุภาพ

————————————

[1] หนึ่งส่วน หมายถึง หนึ่งส่วนจากสิบส่วน 1/10

[2] องค์ชายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่บุตรชายขององค์จักรพรรดิถัง แต่ส่วนใหญ่สื่อถึงพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับองค์จักรพรรดิ

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท