Sign in Buddha’s palm 72 ซ่อมแซมดวงใจพุทธะให้สมบูรณ์
ภายในลานธรรม
รัศมีแสงแผ่ซ่าน
ดอกบัวสีทองเบ่งบาน
ซูฉินก้าวไปข้างหน้าแล้วยกมือขวาเหยียดนิ้วเรียวทั้งห้าแปะไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘ เบาๆ
ดวงใจพุทธะที่เสียหาย ปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด
แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเสียหายไปมากเพียงใด ก็ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวแก่นภายในของดวงใจพุทธะอยู่เสมอ และด้วยเศษเสี้ยวแก่นภายในนี้แหละที่จะทำให้ดวงใจพุทธะกลับมาสมบูรณ์ได้
แน่นอนว่าบนโลกนี้คงมีเพียงซูฉินคนเดียวที่ทำเช่นนี้ได้
แม้แต่อรหันต์รุ่นก่อนๆ ของวัดเส้าหลินจะฟื้นคืนชีพกลับมา หรือเป็นตำนานยุทธจากภายนอกก็ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมดวงใจพุทธะที่เสียหายได้ง่ายๆ
ดวงตาแห่งสัจจะสามารถตรวจจับพลังฟ้าดินทั้งหลายได้และดวงใจพุทธะก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เมื่อรวมความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะเข้ากับพลังของซูฉิน เหตุใดเขาจึงจะทำให้มันสมบูรณ์ไม่ได้เล่า
“ท่าน…ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”
เณรน้อย ‘เฉียนขู่‘ เบิกตากว้าง เมื่อปลายนิ้วทั้งห้าของซูฉินแตะเข้าที่หน้าผากของตน เขาก็พลันรู้สึกทั้งอบอุ่นและอึดอัดในเวลาเดียวกัน
‘เฉียนขู่‘ รู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเขาเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลือดลมร้อนระอุราวกับมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นภายใน
“ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง!”
“คำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างประหลาดใจกันในคราแรก แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะพอตระหนักถึงบางสิ่งได้แล้ว จึงโค้งคำนับต่อหน้าซูฉิน
ทั่วทั้งวัดเส้าหลิน ผู้ที่สามารถเดินเข้าออกลานธรรมได้อย่างเงียบเชียบ และสร้างนิมิตเช่นนี้ขึ้นมาได้ มีเพียงท่านผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเท่านั้น
แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะสงสัยกับสิ่งที่ซูฉินกำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘เฉียนขู่‘
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป
รัศมีแสงยังคงแผ่กระจายออกอย่างเชื่องช้าราวกับว่าจะคงอยู่ตลอดไป
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างรอคอยด้วยอาการเคารพ ไม่มีใครใจร้อน
ในความจริงแล้วใต้รัศมีแสงแห่งองค์ยูไล แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักก็ยังได้รับประโยชน์บางอย่างไปด้วย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ซูฉินค่อยๆ รั้งมือขวากลับมา
เขาได้ใช้กำลังภายในระดับ ‘อรหันต์‘ ของตนเองเพื่อชดเชยส่วนที่ไม่สมบูรณ์ให้กับดวงใจพุทธะของ‘เฉียนขู่‘ และนอกจากนี้ยังช่วยชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้อีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้วในใจของซูฉินได้วาง ‘เฉียนขู่‘ ไว้ในตำแหน่ง ‘รากฐาน‘ ที่จะทิ้งไว้ให้กับวัดเส้าหลิน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะใจกว้าง
หากจอมยุทธคนอื่นๆ ในยุทธภพได้รู้ว่าเณรอย่าง ‘เฉียนขู่‘ ถูกชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้โดยอรหันต์ พวกเขาจะต้องอิจฉาตาร้อนอย่างแน่นอน
รู้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธหลังจากก้าวกระโดดผ่านขอบเขตอันยิ่งใหญ่ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่อีกระดับหนึ่ง
การชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกโดยอรหันต์นั้นเพียงพอจะทำให้ ‘เฉียนขู่‘ เดินนำเหล่าจอมยุทธส่วนใหญ่ในยุทธภพไปแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธเลยด้วยซ้ำ
“หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นในอนาคต”
“เจ้าสามารถตามหาข้าได้ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง”
ซูฉินทิ้งคำพูดเอาไว้จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป
รัศมีแสงแห่งยูไลสลายไป
บัวทองหุบกลับ
ลานธรรมกลับสู่ความสงบในฉับพลัน
ไม่นานนักหลังจากที่ซูฉินจากไป เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจึงกล้าที่จะเริ่มกล่าวคำออกมา
“ท่านเจ้าอาวาส”
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยอมรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์แล้วหรือ?”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวว่าเขาจะรับศิษย์ แต่เนื่องจากเขาอนุญาตให้ ‘เฉียนขู่‘ ไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แอบยอมรับฐานะอาจารย์อยู่ในใจ
“ข้าก็ไม่ทราบ”
“เราจะเข้าใจความคิดของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้อย่างไร?”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวเล็กน้อย แต่ก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ “การมาครั้งนี้ของท่านนั้น มีเรื่องอะไรไม่ปกติเกิดขึ้นรึเปล่า?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็จับจ้องไปที่ ‘เฉียนขู่‘ ที่หลับใหลไปแล้ว
“หืม?”
ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พบสิ่งผิดปกติ
‘เฉียนขู่‘ในตอนนี้ กลับมีลักษณะเป็นปกติ ราวกับว่าเขากลายเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้ว
“คืนสู่สามัญ”
“นี่คือการหวนคืนสู่สามัญ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตกใจและพึมพำอยู่กับตนเอง
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูเหลือเชื่อเช่นกัน
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่ซูฉินทำอะไรกับ ‘เฉียนขู่‘ แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่ามันย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ในยุทธภพนี้ การเป็นต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางสายลมมีแต่จะเป็นการทำลายตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
หาก ‘เฉียนขู่‘ ยังคงรักษาลักษณะเช่นเดิมเอาไว้ แม้จะมีพรสวรรค์อันสูงส่ง แต่สุดท้ายมันอาจโดนปล้นชิงไปได้ในอนาคต
ส่วนตอนนี้ทุกอย่างซ่อนอยู่ในกายอย่างมิดชิด ไม่หวือหวา แต่อนาคตอันรุ่งโรจน์รอคอยอยู่เบื้องหน้า
…
พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
ซูฉินนั่งขัดสมาธิโคจรพลังภายในไปทั่วร่าง ผสานเข้ากับเนื้อหนังและเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ตลอดเวลา
“กำลังภายในของระดับอรหันต์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปถึงระดับรากฐานแล้ว และแตกต่างไปจากกำลังภายในของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น”
ซูฉินลืมตาขึ้น เขารู้สึกได้ถึงทุกซอกทุกมุมภายในร่างกายของตน
หากกล่าวว่ากำลังภายในของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือน้ำที่ไหลแรง กำลังภายในของยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดเปรียบได้กับท่อนไม้
กำลังภายในของระดับอรหันต์จึงเทียบได้กับเหล็กกล้า
เพียงกำลังภายในอย่างเดียวของระดับอรหันต์ก็เพียงพอที่จะกำจัดกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งลงได้แล้ว
ทั้งคู่อยู่คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิง
“หรือจะกล่าวได้อีกอย่าง กำลังภายในของขอบเขตอรหันต์ไม่ได้เรียกว่ากำลังภายในอีกต่อไป มันคือแก่นแท้แห่งพลังประเภทหนึ่ง?”
ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ
ความเป็นจริงกำลังภายในของระดับอรหันต์และกำลังภายในของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
หากยังใช้ชื่อเดิมอีกอาจจะทำให้สับสนได้
“ผลของโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเกือบจะหมดลงแล้ว”
เพียงแค่คิด ขวดบรรจุโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกขวดหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในมือของซูฉิน
ทันใดนั้นพลังฟ้าดินก็เริ่มพุ่งเข้ามาอย่างอ่อนๆ แต่ถูกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินระงับเอาไว้ในทันที
อึกอึก
ซูฉินกลืนเม็ดยาอายุวัฒนะเคลือบทองคำลงไป
ช่วงนี้ซูฉินใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไปเกือบสิบเม็ด มันทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ไปพักใหญ่
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมาอีกเป็นโหล โดยพื้นฐานแล้วก็ถือว่าสมดุลระหว่างสิ่งที่ได้มากับสิ่งที่เสียไป
ฟู่ว!
เม็ดยาที่ไม่มีสี โปร่งใส ไหลลงไปในช่องท้องทันที และทันใดนั้นตัวยาก็เริ่มแผ่กระจายออก กลั่นตัวกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังอย่างต่อเนื่อง ไหลไปตามรยางค์แขนขา
ในขณะที่ซูฉินฝึกฝนต่อ ความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นทีละน้อย
แล้วจากนั้นเขาก็กลับเข้าสู่วังวนเก่าอีกครั้ง
ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝน ทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไล
นอกเหนือไปจากนี้ ซูฉินก็มีให้คำแนะนำแก่ ‘เฉียนขู่‘ บ้างเป็นครั้งคราว
ต้องบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ที่มีดวงใจพุทธะนั้นน่าเหลือเชื่อมาก ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธหรือพระธรรมคัมภีร์ เขาก็สามารถเข้าใจหลักพื้นฐานใหญ่ๆ ได้โดยละเอียด
ช่างประหยัดเวลาให้กับซูฉินเป็นอย่างมาก ที่เขาทำมีเพียงให้คำแนะนำเป็นจุดๆ ไป
สามปีผ่านเลยไปในพริบตาเดียว
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา วัดเส้าหลินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงมีพระพุทธรูปอันเก่าแก่ มีโคมไฟสีฟ้าตามทาง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ‘เฉียนขู่‘ ได้เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ซูฉินพอใจมาก
ตัวเขาเองใช้เวลาตั้งสองเดือนในการกลายเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ด เพราะฉะนั้นถือว่า ‘เฉียนขู่‘ ก็ทำได้ดีอยู่
อย่างไรก็ตาม ภายในวัดเส้าหลินทุกอย่างดูเหมือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ที่ภายนอกกลับยุ่งเหยิง
ศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของนักพรตจางทายาทจอมยุทธจากเขาหวู่ตั้ง ได้สะพายกระบี่ลงมาจากภูเขา ต้องการจะท้าทายผู้คนในยุทธภพ
ส่วนอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็นำกำลังหลายล้านคนเข้าทำลายอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องโกลาหลเกิดขึ้นในวังหลวงราชวงศ์ถัง จักรพรรดิถังได้แต่งตั้งให้องค์ชายหลี่เชิงขึ้นเป็นรัชทายาท