Sign in Buddha’s palm 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต
ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้งานระบบครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลิน สืบทอดมาจากองค์ยูไล
ในขณะที่ฝ่ามือยูไลก็ยังเป็นเคล็ดวิชาที่ระดับสูงที่สุดในบรรดาวิชาคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินได้รับมาหลังจากลงชื่อเข้าใช้กว่ายี่สิบปีอีกด้วย
“ในเมื่อ ‘อรหันต์ถัว‘ สามารถปราบมารพุทธะได้ด้วยฝ่ามือยูไล ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าควรจะใช้ฝ่ามือยูไลได้แล้ว”
ความคิดของซูฉินแล่นไป จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังก็ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ระหว่างคิ้วของเขา
หวึ่ง!!!
ซูฉินเหมือนเข้าไปอยู่ในห้วงความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล แลดูเพ้อฝัน ลึกซึ้ง เปล่งประกายเจิดจรัส
ที่ด้านหน้ามีองค์ยูไลทองคำตั้งอยู่บนพื้นดินสูงจรดฟ้า เสียงธรรมล่องลอยอยู่ช่วยเสริมเติมเต็มความว่างเปล่า
“สูงกว่าพิภพ เหนือกว่าสวรรค์ เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”
ทันใดนั้นภายในจิตใจของซูฉินก็เหมือนมีอักขระนับไม่ถ้วน เสียงสวดรายล้อมถาโถมเข้ามาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือน และในที่สุดก็ก่อตัวเป็นองค์ยูไลทองคำ ยืนนิ่งสงบมองลงมาดูสรรพสัตว์
ขณะนั้นเองซูฉินก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ จึงรีบถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกจากหว่างคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือ?”
เมื่อซูฉินลืมตาขึ้น ใบหน้าเขาก็แสดงอาการตกใจ
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ซูฉินเข้าใจถึงเคล็ดบางอย่างเกี่ยวกับฝ่ามือยูไล
ฝ่ามือยูไลแบ่งออกเป็นเก้าประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นทั้งเป็นอิสระต่อกันและพึ่งพากัน ไม่มีประเภทไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่า
ในตอนนี้ซูฉินเชี่ยวชาญฝ่ามือยูไลรูปแบบแรกแล้วนั่นคือ : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด
สิ่งนี้แสดงถึงพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นระดับอรหันต์ก่อนจึงจะสามารถกระตุ้นใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ได้
ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาคงสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้อย่างแน่นอน
และแน่นอน
ซูฉินรู้ดีว่านั้นเป็นเพียงความรู้สึกลวงตาที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เองด้วย
ถ้าซูฉินมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงองค์ยูไล และใช้กระบวนท่ารูปแบบที่หนึ่ง : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่เขารู้สึก
แต่ตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะใช้กระบวนท่านั้น อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้เพียงจัดการกับระดับเดียวกันกับตนเท่านั้น
การที่จะทะยานฟ้าขึ้นไปสู้รบตบมือกับเหล่าเทพ เหล่าเซียน เหล่าอสูรนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง
ที่ซูฉินเห็นภาพลวงตาว่าสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้เป็นเพราะเขาเพิ่งรับมรดกตกทอด ‘ฝ่ามือยูไล‘ มา เขาจึงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมมองขององค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองมาโดยไม่รู้ตัว
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถเข้าใจแค่รูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลเท่านั้นหรือ?”
ซูฉินนวดเค้นไปตามแนวคิ้วพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ
ตอนที่เขาจมอยู่ในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เขาเพิ่งจะได้รับมาเพียงกระบวนท่าแรกเท่านั้นและถูกบังคับให้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงบริเวณหัวใจ
“แต่ไม่เป็นไร”
“เพียงรูปแบบแรกของกระบวนท่าก็เพียงพอที่จะให้ข้าศึกษาทำความเข้าใจไปเป็นเวลานานทีเดียว”
ซูฉินไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย แต่กลับมองไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้ามากขึ้นอีก
อีกนัยหนึ่ง มรดกแห่งฝ่ามือยูไลก็อยู่กับองค์ยูไลทองคำที่บริเวณหว่างคิ้วของเขา ไม่ได้หนีไปไหน ตราบใดที่พลังของซูฉินถึงขั้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้ส่วนที่เหลือได้
ซูฉินจึงไม่ได้รู้สึกอะไรอื่นอีก
“ฝ่ามือยูไลมีระดับสูงจนเกินไป”
ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โดยที่หัวใจของเขาเร่าร้อนเป็นพิเศษ
เดิมทีซูฉินคิดว่าฝ่ามือยูไลเป็นวิชายุทธระดับอรหันต์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าระดับอรหันต์จะเป็นเพียงเกณฑ์ต่ำสุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นใช้ฝ่ามือยูไลได้
“เก้าร้อยปีก่อน ฝ่ามือยูไลที่ใช้ปราบมารพุทธะไม่ควรจะเป็นรูปแบบแรก เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด”
ซูฉินหันมองไปที่ภูเขาด้านหลัง ความคิดตีกันไปมา
รูปแบบทั้งเก้าของฝ่ามือยูไลนั้นเป็นเอกเทศ พึ่งพากัน และไม่มีความต่างระหว่างระดับว่ารูปแบบไหนสูงรูปแบบไหนต่ำกว่า
ทั้งเก้ารูปแบบล้วนแตกต่างกันมีความเด่นเฉพาะทาง บางประเภทโดดเด่นในการทำลายล้าง บางประเภทเด่นในด้านการสะกดปราบปราม และบางประเภทก็เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกัน…
ซูฉินเดาว่าฝ่ามือยูไลที่อรหันต์ถัวใช้ปราบมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อน น่าจะเอนเอียงไปทางการปราบปราม
มิฉะนั้นหากเป็นฝ่ามือยูไลที่เด่นด้านการทำลายล้างเช่นเดียวกันรูปแบบแรกที่ซูฉินเรียนรู้ เกรงว่ามารพุทธะคงถูกปราบไปตั้งแต่เก้าร้อยปีที่แล้ว ไม่อยู่รอดมาจนถึงบัดนี้หรอก?
“ครั้งสุดท้ายที่ข้าทำการเสริมผนึกตราประทับ มารพุทธะกล่าวไว้เกี่ยวกับ ‘ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต‘ ซึ่งน่าจะหมายถึงองค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของข้า”
ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ในใจตน
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ค้นดูบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วน และเข้าใจแล้วว่าความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นคืออะไร
หากจะกล่าวว่าในประวัติศาสตร์หลายพันปีของวัดเส้าหลิน ฝ่ามือยูไลนั้นพอจะมีร่องรอยให้ได้เห็นอยู่บ้าง แต่กับความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นก็เหมือนกับมีอยู่เพียงในตำนานที่เล่าขานมาเท่านั้น
พูดอย่างง่ายๆ ก็คือทั้งเก้ารูปแบบของฝ่ามือยูไลนั้นมีความแตกต่างกัน และไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถควบคุมให้รูปแบบทั้งเก้าสามารถใช้ออกได้ในเวลาเดียวกันเลย
แต่หากมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไป
ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต นั้นเทียบได้กับ ‘แผนผังหลัก‘ ของฝ่ามือยูไล มีบทบาทในการควบคุมฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ
…
…
การรับมรดกฝ่ามือยูไลรูปแบบแรก ทำให้ชีวิตของซูฉินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
นอกเหนือจากลงชื่อเข้าใช้และการบ่มเพาะที่ทำทุกวันแล้ว การทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลก็ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันด้วย
เติมเต็มชีวิตให้มีอะไรทำมากขึ้น
“เหมือนว่าเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์ควรจะเหลือไม่มากแล้ว”
ในวันนี้ซูฉินได้ไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์ และหลังจากกลับมาถึงพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเขาก็พลันคิดเรื่องราวอย่างรอบคอบ
“ยามใดที่เต๋าสะสมหมดลง ข้าควรจะออกไปจากวัดเส้าหลิน”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้วัดเส้าหลินแล้วสินะ…”
ซูฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
เขาไม่กล้ากล่าวว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยต่อวัดเส้าหลินหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่มามากกว่ายี่สิบปี ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซูฉินไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรักความเอาใจใส่รวมถึงอาหารในแต่ละมื้อที่วัดเส้าหลินมีให้กับเขาได้
“ข้าควรจะทิ้งอะไรไว้ดี?”
ซูฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ซูฉินนึกถึงปัญหานี้มานานแล้ว ก่อนจะเข้าสู่ระดับอรหันต์เสียอีก
ในเวลานั้นซูฉินคิดว่าหากศิษย์ของเส้าหลินไม่สามารถรักษามรดกที่เขาทิ้งไว้ได้ ก็คงไม่มีความหมายที่เขาจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง
ก่อนหน้านี้ก็มิใช่ว่ามีอรหันต์กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินอยู่บ้างมิใช่หรือ?
ก่อนที่จะละสังขาร อรหันต์ทั้งหลายคนได้ก่อสร้างรากฐานบางอย่างไว้ให้กับวัดเส้าหลิน
แต่มรดกเหล่านั้นก็สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบหลายร้อยปี แม้แต่มรดกอันยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปในที่สุด
“เนื่องจากไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย หรือข้าควรจะทิ้งคนไว้เป็นมรดกให้แก่เส้าหลินดี”
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน และสุดท้ายก็เข้าไปห่อหุ้มลานธรรม
ภายในลานธรรม
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาธรรมกับเฉียนขู่
ล่าสุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำ‘เฉียนขู่‘ไปเข้าพบซูฉินเป็นการส่วนตัว โดยหวังว่าซูฉินจะรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์
แม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพียงกล่าวว่าจะลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อน
“ดวงใจพุทธะที่เสียหาย…”
“ต้องทำเช่นไรจึงจะซ่อมแซมมันให้สมบูรณ์ได้นะ”
ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและก้าวเท้าออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
…
ณ ลานธรรม
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านผู้นั้นว่ากระไรบ้าง?”
หัวหน้าลานธรรมมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเอ่ยถาม
“ท่านว่าให้เวลาท่านคิดสักพัก”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวออกไปตามจริง
ให้เวลาคิดสักพัก…
ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ก็เงียบลง
แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่สนใจรับลูกศิษย์นี่สิ
ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเลย
“น่าเสียดายพรสวรรค์ของเฉียนขู่นัก…” หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ส่ายศีรษะ
เมื่อเฉียนขู่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก หัวเขาก็ค้อมต่ำลงราวกับตนทำผิดร้ายแรง
เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างคิดไปแล้วว่าเฉียนขู่คงไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นเสียแล้ว
หวึ่ง!
รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลก็แผ่กระจายออกมาจางๆ
เสียงสวดดังขึ้นต่อเนื่อง ดอกบัวสีทองอันพิสุทธิ์ไม่มีแม้รอยเปื้อนเบ่งบานออก
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ
เห็นเป็นร่างคนก้าวย่างเชื่องช้า ทั่วทั้งกายปกคลุมไปด้วยแสงทอประกายวาววับ ช่างดูสูงส่งยิ่ง มีดอกบัวสีทองรองใต้เท้ายามก้าวเดิน เสียงสวดลอยล่องมาตามลม ดูตระหง่านราวกับองค์ยูไลผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตมาอยู่ที่นี่แล้ว
ร่างนั้นเดินไปที่ด้านหน้าของ ‘เฉียนขู่‘ ทีละก้าวๆ และยกมือขวาขึ้นเหยียดนิ้วอันเรียวยาวและทรงพลังทั้งห้านิ้วแตะลงไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘
สัมผัสแห่งองค์ยูไล ยามนี้เจ้าได้มองเห็นทางอันชัดแจ้งบนถนนที่ตถาคตได้ล่วงไปแล้ว