Sign in Buddha’s palm 75 ระดับนภาชั้นที่สอง
“นี่คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”
จ้าวกงกงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก จ้องตรงไปที่จี้หยกที่ห้อยข้างเอวของซูเยว่หยุน
แม้ว่าเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกจะถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน แต่จ้าวกงกงก็เป็นถึงจุดสูงสุดระดับชั้นที่หนึ่ง หากเขาสนใจในสิ่งใด ปกติแล้วย่อมไม่สามารถซ่อนอะไรจากสายตาเขาได้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
“เป็นไปได้หรือที่เบื้องหลังของสตรีชาวบ้านที่องค์ชายอภิเษกด้วยจะมียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดอยู่?”
จ้าวกงกงรู้สึกว่านี่มันไร้สาระเอามากๆ
ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดนั้นหายากเพียงไร? หากมีตัวตนเหล่านี้อยู่เคียงข้าง มิใช่ว่าชีวิตจะแสนสุขสบายหรือ?
องค์จักรพรรดิถังนั้นได้ซ่อนตัวตนของหลี่เชิงไว้ท่ามกลางฝูงชน จ้าวกงกงนั้นเป็นบุคคลที่รู้ทุกเรื่องดีที่สุด แม้แต่หลิวกงกงที่คอยปกป้องหลี่เชิงก็ได้จ้าวกงกงนี่แหละที่เป็นผู้จัดแจงมอบหมาย
จ้าวกงกงรู้ทุกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของหลี่เชิง ส่วนบุตรีตระกูลซูที่อภิเษกกับองค์ชายหลี่เชิงรวมถึงตระกูลของนาง ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลซูก็ถูกส่งถึงมือจ้าวกงกงมาตั้งแต่แรก
สิ่งที่จ้าวกงกงไม่คิดฝันคือบุตรีตระกูลซูซึ่งแสนจะธรรมดาในสายตาเขา กลับมียอดฝีมือยืนอยู่เบื้องหลัง?
“มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?”
“จี้หยกนี้ ซูเยว่หยุนบังเอิญเก็บมาได้?”
ความคิดของจ้าวกงกงแปรเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ต้องตัดความคิดนี้ทิ้งไป
ท่ามกลางเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด ยอดปรมาจารย์ที่กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
แทบไม่มียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคนใดเต็มใจที่จะสละส่วนหนึ่งของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนมาใส่ไว้ในจี้หยกเช่นนี้
แล้วหากซูเยว่หยุนบังเอิญเก็บจี้หยกมาได้จริงๆ จี้หยกนั้นจู่ๆ จะไปข้องเกี่ยวกับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดได้อย่างไร?
“การแบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา หากไม่มีทักษะลับที่เกี่ยวข้อง แม้แต่จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดเองก็ไม่สามารถกระทำได้ นอกจากนี้หลังจากแบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วยังสูญเสียฐานพลังไปส่วนหนึ่งอีกด้วย”
“ยกเว้นไว้แต่คนที่มอบให้จะสำคัญกับตนเองมากจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่มียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคนใดที่จะทำเช่นนี้”
ความคิดของจ้าวกงกงแล่นแปลบปลาบราวกับประกายไฟ
“คนผู้นั้นคือใครกัน?”
จ้าวกงกงพยายามนึกหาความเป็นไปได้ไล่ไปทีละอย่าง
ในระหว่างที่จ้าวกงกงกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นเอง
องค์ชายหลี่เชิงที่ถูกซูเยว่หยุนเกลี้ยกล่อม ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยอมไปพระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงก่อนสักระยะ แล้วระหว่างนี้เขาจะขอราชโองการให้รับซูเยว่หยุนตามเข้าไป
“จ้าวกงกง ไปกันเถอะ”
องค์ชายหลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างไม่ยินยอมเท่าใดนักแล้วจึงกล่าวกับจ้าวกงกง
“ความจริงแล้ว…การเจรจาต่อรองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”
จ้าวกงกงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วทันใดนั้นก็ยิ้มให้กับซูเยว่หยุน “เนื่องจากแม่นางซูได้อภิเษกสมรสเข้ากับราชวงศ์แล้ว เธอคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อจะได้รับตำแหน่งพระชายา คงมิผิดแปลกหากจะย้ายเข้าพระราชวังตะวันออกก่อนเวลาสักหน่อย…”
จ้าวกงกงเหลือบมองไปที่จี้หยกข้างเอวของซูเยว่หยุนอีกครั้งแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวคำ “ท่านทั้งสอง รีบเสด็จไปพระราชวังตะวันออกกันเถิด”
เมื่อจ้าวกงกงกล่าวเช่นนี้
องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนต่างตกอยู่ในความงุนงง
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดเจ้ากงกงจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
แม้ว่าหลี่เชิงจะไม่เคยได้ใกล้ชิดจ้าวกงกง แต่เขาก็พอรู้ว่าจ้าวกงกงเป็นคนเช่นไรตามคำเล่าลือจากคนอื่นๆ
ทั่วทั้งวังหลวง นอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้จ้าวกงกงเปลี่ยนใจได้
องค์ชายก็ไม่สามารถ
ขุนนางก็ทำไม่ได้
แต่เมื่อครู่…
องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนมองหน้ากันและทำได้เพียงกัดฟันเดินตามจ้าวกงกงไป
…
ครึ่งวันต่อมา
ในพระราชวังราชวงศ์ถัง
“สาวชาวบ้านที่องค์รัชทายาทอภิเษกสมรสด้วยนั้นมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง”
จ้าวกงกงโค้งคำนับลงเล็กน้อย
จากนั้นจ้าวกงกงก็แจ้งให้องค์จักรพรรดิถังทราบเรื่องที่ตนค้นพบจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในตัวของซูเยว่หยุน
“โอ้?”
“น่าสนใจ”
“น่าสนใจยิ่ง!”
เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์ขององค์จักรพรรดิถังดูชราภาพลงไปมาก และพระองค์ก็ไอออกมาอย่างรุนแรงขณะที่พูด
เมื่อจ้าวกงกงเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยเร็วพลัน เหยียดมือขวาออกแล้วค่อยๆ กดไปที่ร่างขององค์จักรพรรดิถัง
หลังจากนั้นไม่นาน
สีหน้าขององค์จักรพรรดิถังก็ดีขึ้นเล็กน้อย โบกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่ายอดปรมาจารย์ที่เป็นเจ้าของจี้หยกคือใครกัน?”
“ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้มิอาจทราบ”
เมื่อจ้าวกงกงกล่าวเช่นนั้นก็หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดต่อว่า “แต่ที่ข้ารับใช้เฒ่ารู้ก็คือเจ้าของที่แท้จริงของจี้หยกชิ้นนั้นไม่น่าจะมีความตั้งใจที่จะต่อสู้แย่งชิงเพื่อราชบัลลังก์”
“จุดประสงค์ที่แท้จริงของจี้หยกนั้นคือเพื่อปกป้อง และไม่มีจุดประสงค์อื่นใดอีก”
จ้าวกงกงกล่าวอย่างเชื่องช้า
เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงได้เปลี่ยนใจ ยินยอมให้ซูเยว่หยุนและหลี่เชิงย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังตะวันออกด้วยกัน
ท้ายที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่ไม่ได้มีใจมุ่งร้ายผู้อยู่เบื้องหลังแม่นางซู การแสดงความใจกว้างอย่างเหมาะสมจะเกิดแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษตามมา
หากยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดผู้อยู่เบื้องหลังซูเยว่หยุนยินดีที่จะสนับสนุนองค์ชายหลี่เชิง ต่อให้มีเพียงคนเดียวในพระราชวังตะวันออก ผู้นั้นก็สามารถรับรองตำแหน่งพระมเหสีให้กับนางได้เพียงเอ่ยปากประโยคเดียว
ตราบใดที่สามารถชนะใจยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นสูงสุดได้ ไม่ว่าต้องจ่ายออกเท่าไหร่ ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น
“เรา เราเข้าใจแล้ว”
“ดูเหมือนโชคชะตาของเขาจะดีกว่าของเราผู้นี้เสียอีก….”
องค์จักรพรรดิถังเอนกายลงไปบนเก้าอี้ประทับที่สลักลวดลายมังกร ลูบไปตามแนวคิ้วของตนพยายามจะทำให้ความคิดปลอดโปร่งชัดเจนขึ้น
จ้าวกงกงยืนอยู่เฉยๆ และไม่ได้พูดคำอันใด
ทันใดนั้นห้องประทับส่วนพระองค์ก็ตกอยู่ในความเงียบ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
จักรพรรดิถังจึงเอื้อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า “กล่าวออกมาตามตรง ตัวเรานั้นจะมีชีวิตได้อีกนานเพียงไร”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น ท่าทีของจ้าวกงกงก็มีเปลี่ยนไปบ้าง และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวว่า “อีกสามปี แม้ว่าข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ก็รับประกันอายุขัยได้อีกเพียงสามปีหลังจากนี้…”
“สามปี…”
“เวลาไม่มากนัก แต่น่าจะเพียงพอแล้ว”
การแสดงออกขององค์จักรพรรดิไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ราวกับสิ่งที่เขาได้ฟังไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของตนเอง
…
วัดเส้าหลิน
นับตั้งแต่ที่ลงชื่อเข้าใช้ ได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลมา ซูฉินก็เหมือนได้กลับเข้าสู่ยามที่ฝึกฝนวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่ก้าวหน้าขึ้นในทุกๆ วัน
ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องเสียโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมากเกินไป
“อีกไม่ไกลแล้ว”
“ใกล้จะถึงขั้นตอนในการตัดผ่านแล้ว”
ที่ภูเขาด้านหลัง ซูฉินนั่งไขว้ขวาขัดกัน หมุนวนแก่นแท้แห่งพลังโคจรไปรอบร่างอย่างช้าๆ เพื่อปรับสภาพร่างกายของตน
หลังจากที่ใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไปหลายสิบเม็ด ระดับการบ่มเพาะของซูฉินก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตระดับนภาชั้นที่หนึ่ง
“มาเริ่มกันเลย”
ใจของซูฉินไหววูบ ทันใดนั้นโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำกว่ายี่สิบเม็ดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดผ่านครั้งนี้จะไม่ผิดพลาด ซูฉินยอมทุ่มทุนที่สะสมเอาไว้ออกมา เตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาด้วยโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำถึงยี่สิบเม็ด
ต้องรู้ว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอให้อรหันต์ทั่วๆ ไปต้องย่อยและดูดซึมยาวนานกว่าสองถึงสามเดือน เมื่อรวมยี่สิบเม็ดเข้าด้วยกันฤทธิ์ยาคงน่าสะพรึงกลัวในระดับที่พอจะระเบิดร่างของอรหันต์จากภายในได้เลย
ถ้าไม่ใช่เพราะการคุ้มครองของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ซูฉินจะไม่กล้าทำเช่นนี้เลย
กลึก อึก
ซูฉินกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำแล้วเริ่มโคจรพลังตามแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล เพื่อปรับแต่งตัวยาที่กำลังแผ่ออกมา
ในทันทีนั้นเอง ร่างกายของซูฉินเริ่มแปรสภาพไปอีกครั้งอย่างช้าๆ
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไอพลังของซูฉินก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ไพศาลราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าไม่ใช่เพราะพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังมีตราประทับฝ่ามือยูไลที่ถูกทิ้งไว้โดยอรหันต์ถัว ไอพลังของซูฉินคงจะพุ่งทะลุฟากฟ้าไปนานแล้ว และทั่วทั้งวัดเส้าหลินจะตกอยู่ในไอพลังของเขา
ในที่สุดแก่นแท้แห่งพลังของซูฉินก็เริ่มเดือดพล่านมากยิ่งขึ้น จนถึงจุดหนึ่งเหมือนว่ามันจะทะลวงผ่านกรงขังที่ครอบเอาไว้และพุ่งขึ้นไปสู่ขอบเขตใหม่
เพล้ง!
“ก้าวข้ามไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สองได้ในที่สุด”
ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏชัดบนใบหน้า