Sign in Buddha’s palm 77 อรหันต์ ‘ถัวอา‘ และดวงจิตรู้แจ้งพันปี
“น่าสนใจ”
ซูฉินเฝ้าดูอยู่นิ่งๆ แต่ความสนใจกลับเพิ่มพูนขึ้นในจิตใจ
ต้องทราบว่าตอนนี้เขาเป็นถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สอง แทบไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปได้ เว้นแต่จะมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปกปิดเขาได้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ประตูหินนี้เป็นฝีมือของอรหันต์สักรูปจากวัดเส้าหลิน”
ซูฉินสงสัย
เขาไม่ได้คิดสงสัยว่าเฉียนขู่จะโกหก
หนึ่งคือเฉียนขู่ไม่มีความกล้าพอ
ประการที่สองเป็นเพราะสถานที่ที่เฉียนขู่อ้างถึงอยู่ภายในวัดเส้าหลิน หากซูฉินต้องการพิสูจน์หา เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน
“ดูเหมือนจะยังมีความลับบางอย่างในวัดเส้าหลินที่ข้าไม่รู้…”
ซูฉินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกออกมา
วัดเส้าหลินคือสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพที่สืบทอดมรดกมายาวนานนับพันๆ ปี มีอรหันต์จำนวนมากผุดขึ้นที่นี่ หากจะบอกว่าที่นี่ไม่มีภูมิหลังแอบซ่อนอยู่เลย ซูฉินย่อมไม่เชื่อเป็นแน่
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ สิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นเป็นความจริงแน่นอน…”
‘เฉียนขู่‘เห็นซูฉินไม่พูดสิ่งใดออกมาเป็นเวลานานก็พาลคิดว่าไม่เชื่อถือคำพูดของตนจึงเริ่มวิตกกังวล
ซูฉินยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำ แล้วพูดออกมาเบาๆ “ข้ารู้แล้วล่ะ งั้นเจ้าจงเป็นผู้นำทางพาข้าติดตามไปดูเดี๋ยวนี้เลย”
ซูฉินสงสัยอย่างมาก ว่าอรหันต์คนใดที่เกี่ยวข้องกับประตูหินบานนั้น
ในไม่ช้า
ด้วยการนำทางของเฉียนขู่ ซูฉินก็เดินทางมาถึงหน้าประตูหิน
“คือที่นี่งั้นรึ?”
ซูฉินมองไปรอบๆ บริเวณนี้คือด้านหลังของเนินเขา มีต้นไม้ขึ้นรกชัฏจนแทบไม่มีศิษย์คนใดเดินมาถึงบริเวณนี้
และประตูหินจากคำบอกเล่าของเฉียนขู่ก็อยู่ในมุมที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
“นี่คือ…”
ซูฉินระแวดระวัง
“กลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดิน?”
ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นตำนานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไปแล้ว การฝึกฝนก็ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในตนอีกต่อไป แต่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังฟ้าดินให้มากขึ้น
การก่อตัวเป็นก้อนพลังงานฟ้าดินนี้ก็มาจากการเข้าถึงหลักเกณฑ์พลังฟ้าดินของอรหันต์สักรูปหนึ่ง
การก่อตัวของพลังงานฟ้าดินมีหลายรูปแบบ บางประเภทมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม อย่างเช่น การก่อตัวของพลังงานฟ้าดินในหอคอยสะกดมาร
บางประเภทเป็นรูปแบบที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน บางประเภทมีรูปแบบในการซ่อนเร้น
กลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดินบนประตูหินตรงหน้านี้คือประเภทซ่อนเร้น
เป็นเพราะกลุ่มก้อนพลังงานอันทรงพลังนี้เองที่ทำให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินมืดบอดไปชั่วคราว
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ถูกต้องแล้วมันคือที่นี่”
เฉียนขู่ชี้ไปที่ประตูหิน แล้วกระซิบคำแผ่วเบา
“ข้าทราบแล้ว”
ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้าประตูหิน
“ตรงนี้ใช่ไหมนะ?”
มีวังวนที่ยากจะอธิบายอยู่ด้านในดวงตาของซูฉิน
ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีค่ายกลอันทรงพลังอยู่ที่นี่ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบอีกต่อไป
กึง กึง กึง
ซูฉินยกมือขวา ดันเบาๆ ไปที่ประตูหิน
ทันใดนั้น
ราวกับไปสัมผัสกลไกบางอย่าง
ประตูหินทั้งบานค่อยๆ เลื่อนถอยออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นทางเข้าที่มืดมิดภายใน
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”
เฉียนขู่ถึงกับตกตะลึง เขาใช้แรงกายทั้งหมดเพื่อเปิดประตูแต่มันก็ไม่ขยับแม้สักนิด แต่ยามเมื่อซูฉินเพียงแตะเบาๆ มันกลับเปิดออกเองอย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ?
ซูฉินไม่ได้พูดอะไร และเดินไปที่ทางเข้าอย่างไม่รีบร้อน
ด้วยดวงตาแห่งสัจจะทำให้ซูฉินแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตรงบริเวณทางเข้าที่คุกคามเขาได้
ซูฉินยังคงเดินต่อไปตามขั้นบันไดหินบริเวณทางเข้า
เฉียนขู่ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างเชื่อฟัง ไม่คิดจะติดตามไปเพิ่มความวุ่นวายให้กับซูฉิน
ไม่ช้านาน
หลังจากที่ซูฉินเดินไปตามชั้นหินเขาก็มาถึงห้องลับที่แสนจะว่างโล่ง
มีหนังสืออยู่มากมายหลายเล่ม พระธรรมคัมภีร์จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ผุพังไปแล้วเหลือเพียงพระคัมภีร์บางส่วนที่ทำจากเปลือกไม้ชนิดพิเศษเท่านั้นที่พอจะอยู่รอดมาได้
“ห้องลับนี้คงอยู่มาอย่างน้อยๆ ก็พันปีได้แล้วกระมัง”
ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจขณะที่เดินไปยังส่วนลึกของห้องลับ
ไม่นานนักก็มาถึงทางตัน เห็นร่างภิกษุรูปหนึ่งสวมจีวรสีทองนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ
ภิกษุที่สวมจีวรสีทองไม่มีลมหายใจ เห็นได้ชัดว่ามรณภาพไปนานแล้ว
“เขาคืออรหันต์ ‘ถัวอา”งั้นรึ? ”
หลังจากซูฉินมองดูภิกษุจีวรสีทองอย่างละเอียด สีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อรหันต์ถัวเป็นอรหันต์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลิน เป็นเรื่องปกติที่จะมีรูปวาดเก็บไว้ในวัดเพื่อให้ศิษย์รุ่นหลังได้ชื่นชม
จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีเพียงอรหันต์ถัวเท่านั้น แต่รวมถึงอรหันต์รูปอื่นๆ ที่เคยมีมาในวัดเส้าหลินตั้งแต่ครั้งอดีตอีกด้วย
“อรหันต์‘ถัวอา‘ จากเมื่อเก้าร้อยปีก่อน…”
ความคิดของซูฉินแล่นเร็วจี๋
มีข่าวลืออยู่มากมายภายในวัดเส้าหลินเกี่ยวกับอรหันต์ถัวในฐานะอรหันต์รูปสุดท้ายที่ปราบมารพุทธะจนมรณภาพตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสี่ร้อยปี และฝ่ามือยูไลก็หายสาบสูญไปในเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข้าไม่เห็นร่างของอรหันต์‘ถัวอา‘ในวิหารพระสหัสพุทธ ปรากฏว่ามาอยู่ที่นี่นั่นเอง…”
ซูฉินคิดไปมาในหัว
“สถานที่แห่งนี้น่าจะถูกสร้างโดยอรหันต์‘ถัวอา‘ก่อนที่เขาจะมรณภาพไป และกลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดินด้านนอกก็คงเป็นค่ายกลที่เขาทิ้งเอาไว้เช่นกัน”
ซูฉินคิดอยู่ภายในใจตนเอง
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมอรหันต์ถัวจึงไม่ไปที่วิหารพระสหัสพุทธ กลับเลือกห้องลับนี้แทน แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
“จริงสิ”
“สถานที่แห่งนี้อยู่มานานเป็นพันปีแล้วก็ต้องมี‘เต๋าสะสม‘พอให้ข้าลงชื่อเข้าใช้ใช่หรือไม่?”
ใจของซูฉินขยับวูบ
บังเอิญพอดีที่วันนี้เขายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการลงชื่อเข้าใช้ประจำวัน จึงพึมพำกับตัวเองในใจ
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ดวงจิตรู้แจ้งพันปี‘]
“ดวงจิตรู้แจ้งพันปี?”
ซูฉินแลดูมีความสุข
ดวงจิตรู้แจ้งเป็นวัตถุมงคลทางพุทธที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง วัดเส้าหลินก่อตั้งมานานหลายพันปีแต่มี‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ปรากฏขึ้นน้อยเสียยิ่งกว่าจำนวนอรหันต์เสียอีก
ขนาด‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ธรรมดายังช่วยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเกิดปัญญารู้แจ้งได้ในทันที ลดโมหะลงไปได้อย่างมาก นับประสาอะไรกับดวงจิตรู้แจ้งพันปีเล่า?
สิบกว่าปีก่อน หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมีดวงจิตรู้แจ้ง ถึงช่วงสุดท้ายในการตัดผ่านจะล้มเหลว เขาก็จะไม่มีทางเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก
น่าเสียดายที่‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ชิ้นสุดท้ายได้หายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน จนป่านนี้ก็ยังหากลับคืนมาไม่ได้
ส่วนดวงจิตรู้แจ้งพันปีนั้น…
ตามบันทึกของวัดเส้าหลิน ดวงจิตรู้แจ้งพันปีมีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้นและไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีดวงจิตรู้แจ้งพันปีอยู่จริงๆ หรือไม่
“ไม่เลวไม่เลว”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
การลงชื่อแล้วได้รับดวงจิตรู้แจ้งพันปีมา ต่อให้เขากลับออกไปตอนนี้ก็ยังถือว่าได้กำไรเต็มๆ
หลังจากตรวจสอบดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่เก็บอยู่ในระบบเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งลงแล้วมองไปที่ร่างของอรหันต์ถัวอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นอรหันต์ กายเนื้อของท่านทรงพลังแข็งแรง แม้จะผ่านมาเป็นพันปีก็ยังรักษารูปลักษณ์อย่างที่เห็นตรงหน้านี้ได้
ซูฉินเหลือบมองไปที่อรหันต์ถัวจากนั้นสายตาจึงตกไปอยู่ที่กำแพงหินด้านหน้าของอรหันต์ถัวอย่างรวดเร็ว
“เอ๋?”
ซูฉินเพียงเลื่อนตามองไปทางกำแพงหิน การแสดงออกทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับได้เห็นบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ