เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 84

ตอนที่ 84

Sign in Buddha’s palm 84 ขวัญสะท้าน

“นี่…นี่นี่นี่….”

เมื่อยามที่ศิษย์สำนักต่างๆ วางแผนจะหลบหนีเอาชีวิตรอดแล้วมาได้เห็นฉากนี้ ก็พลันตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างชายจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรีที่สามารถจัดการยอดฝีมือในขอบเขตสามระดับบนได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้กลับถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วนอย่างไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย

“ประกายดาบเมื่อครู่…”

นักพรตเฒ่าจากเขาหวู่ตั้งเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากอาการหมดสติ สิ่งที่เขาเห็นคือประกายดาบที่พังทลายทุกสิ่ง

ด้วยประกายแสงดาบนั่น ราวกับห้วงมิติฟ้าดินจะโดนตัดขาดออกได้ ทุกสิ่งในโลกหล้าถูกบดบังด้วยแสงดาบอันสว่างเจิดจ้า

“แม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ลงมือเอง แต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถในการฟาดฟันของดาบเล่มเมื่อครู่…”

นักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้งพึมพำอยู่กับตนเอง การแสดงออกของเขาเหมือนกับยังจมอยู่กับความคิดเรื่องประกายดาบ

“ข้า…ข้ารอดแล้วหรือ?”

จางเซียวล้มลงกับพื้นเสียงดัง แต่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับเต็มไปด้วยความยินดีแทน

ความเกลียดชังที่ชายจมูกงุ้มมีนั้นเอ่อล้นจนจางเซียวไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะรู้ดีว่าหากตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้ร้องขอความเมตตาอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นความตายอยู่ดี

“เมื่อกี้ข้าเกือบถูกประกายดาบฟาดฟันเข้าให้แล้วไหมเล่า…”

หัวใจของจางเซียวแทบจะหยุดนิ่ง แตกต่างจากคนอื่นที่เห็นประกายดาบจากระยะไกล แต่ตัวจางเซียวถูกจับเอาไว้โดยชายจมูกนกเกือบจะถูกดาบผ่าไปพร้อมกัน

จากพลังที่เห็นได้จากประกายดาบนั้น ไม่ต้องคิดให้มากความเลยว่าตัวจางเซียวเองคงมีสภาพไม่ต่างไปจากชายจมูกงุ้มผู้นั้นแน่หากโดนประกายดาบนั่นเข้าไป

“นายท่านตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”

กลุ่มคนชุดดำ กองกำลังของชายจมูกงุ้มพากันสั่นสะท้านอย่างถ้วนทั่ว ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

แม้ว่าจนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าประกายดาบนั่นคืออะไร แต่สิ่งที่รู้คือชายจมูกงุ้มได้ตายจากไปแล้วต่อหน้าต่อตาพวกเขาตรงนี้เลย

“ข้าควรทำอย่างไรดี?”

คนในชุดคลุมสีดำหลายคนต่างหันมองหน้ากันและล่าถอยให้ห่างจากที่เกิดเหตุ

การสูญเสียชายจมูกงุ้มไป ทำให้ความแข็งแกร่งของกลุ่มพวกเขาลดลงเป็นอย่างมาก อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องการเข้าปิดล้อมเหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆ เลย เกรงว่าหากไม่ระวังตัว ตอนนี้ก็อาจถูกสังหารเอาได้เหมือนกัน

“รีบไปเร็ว”

กลุ่มคนชุดดำพวกนี้ตัดสินใจกันได้ในทันที

หากชายจมูกงุ้มยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

แต่ตอนนี้ชายจมูกงุ้มก็กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเนื้อตัวเย็นเยียบ ถ้าพวกเขาไม่จากไปในตอนนี้ จะให้จากไปตอนไหนได้อีกเล่า?

ถ้าประกายดาบเมื่อครู่มันกลับมาอีกครั้ง พวกเขาไม่ทอดร่างเป็นศพอยู่ที่นี่หรอกหรือ?

ฟึ่บ!

ฟึ่บ!

ฟึ่บ!

ทันใดนั้น คนในชุดดำค่อยๆ หายไปทีละคน

ในขณะนี้เหล่าศิษย์สำนักนิกายต่างๆ ที่อยู่บริเวณนี้ ไม่ได้สนใจคนในชุดดำเลย สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เฉียนขู่

“นี่คือ?”

เฉียนขู่ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าที่ดูว่างเปล่า เขากำลังรอคอยความตายอยู่เมื่อครู่ ด้วยความแข็งแกร่งของชายจมูกงุ้ม มันไม่ยากเลยที่จะสังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับกลางหรือแม่แต่ระดับชั้นที่สาม

“เพราะดาบไม้ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบให้ข้าอย่างงั้นหรือ?

เฉียนขู่ได้มองลงไปที่ดาบไม้ที่ยังคงห้อยอยู่กับคอของเขา

ในขณะนี้ดาบไม้กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง เพียงแต่มีรอยแตกเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฏขึ้นที่คมของดาบไม้

เมื่อตอนที่เฉียนขู่ยังตกตะลึงอยู่นั้น ศิษย์สำนักอื่นๆ ต่างก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังจากนั้นจึงหยุดห่างจากเฉียนขู่ประมาณสิบเมตร พากันมองเฉียนขู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

พวกเขาต่างเป็นหัวกะทิของสำนักต่างๆ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าประกายแสงดาบที่ตัดผ่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่คืออะไร แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเฉียนขู่

“เณรน้อย…เฉียนขู่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”

ในตอนนี้เอง จางเซียวก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้แล้วจึงเดินไปหาเฉียนขู่ และอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไป

ทันทีที่คำพูดถูกกล่าวออกมา ดวงตาของศิษย์สำนักอื่นๆ สว่างวาวระยับ หูกระพือขึ้นเพื่อฟังว่าเฉียนขู่จะตอบว่าอย่างไร

“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”

เฉียนขู่กะพริบตา ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดี

ดาบไม้ด้ามนี้ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบให้กับเขา ภายในดาบไม้คงจะมีวิธีการลับบางอย่างที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ใส่เอาไว้ภายใน

ทันใดนั้น

เสียงคำรามต่ำก็ดังขึ้น

“จางเซียว อย่าได้ถามเรื่องที่มิควรถาม!”

เห็นเป็นนักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้งเดินอย่างรวดเร็วดุดันมาทางจางเซียว

ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งในหัวใจให้กับเฉียนขู่ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน

“ขอบคุณความช่วยเหลือจากท่าน เขาหวู่ตั้งจะเก็บบุญคุณครั้งนี้ไว้ในใจ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคต พวกเราจะช่วยเหลือท่านเต็มที่!”

คำพูดแต่ละประโยคของนักพรตเฒ่าล้วนมาจากใจ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สำหรับเฉียนขู่ แต่เป็นการให้เกียรติต่อประกายดาบที่เพิ่งถูกปล่อยออกไปเมื่อครู่

ชายชราผู้นี้คร่ำหวอดในยุทธภพมานาน เดิมทีก็เป็นถึงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอยู่แล้ว ผนวกกับการที่เป็นนักพรตศึกษาตำรามากมายบนเขาหวู่ตั้งมานานนับปี ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสิ่งอื่นๆ ย่อมเหนือกว่าศิษย์วัยเยาว์เช่นจางเซียว

จากประกายแสงดาบเมื่อครู่ นักพรตเฒ่าสามารถสรุปได้ว่าข่าวลือที่ว่าวัดเส้าหลินมีอรหันต์กำเนิดขึ้น น่าจะเป็นความจริง

นอกเหนือจากระดับอรหันต์แล้ว จะมีผู้ที่ทรงพลังเหนือสรรพสิ่งอื่นใดเล่าที่จะสามารถใช้ประกายดาบที่สั่นสะเทือนทุกสรรพชีวิตได้ขนาดนี้?

เมื่อผู้อาวุโสของสำนักอื่นๆ เห็นฉากดังกล่าว ท่าทีของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และทำเหมือนนักพรตเฒ่าในทันทีทันใด โดยหันหน้าไปทางเฉียนขู่ แต่จริงๆ คือมุ่งเป้าไปที่ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่เฉียนขู่ห้อยเอาไว้รอบคอ แล้วต่างโค้งคำนับด้วยใจจริง

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ศิษย์จากสำนักนิกายต่างๆ หมดความสนใจที่จะไปท่องยุทธภพต่อ ทุกคนต่างกลับไปที่สำนักของตนพร้อมกับผู้อาวุโส

โดยเฉพาะนักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายจมูกงุ้มราวกับนกอินทรีผู้นั้นมุ่งเป้ามาที่จางเซียว?

สำหรับเหล่าศิษย์นิกายอื่นๆ ต่างก็กลัวว่าจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของเขาหวู่ตั้ง

เขาหวู่ตั้งเป็นสำนักที่ทรงพลังแห่งหนึ่งในยุทธภพและนักพรตจางก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดในยุทธภพ แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบจะจมลงไปในกับดักบ้าๆ นี่ แล้วจะไม่ให้นักพรตเฒ่าโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นักพรตเฒ่ารีบกลับไปที่เขาหวู่ตั้งพร้อมกับจางเซียวเพื่อตรวจสอบที่มาชายจมูกงุ้มและค้นหาว่าทำไมเขาถึงกลายมาเป็นศัตรูของเขาหวู่ตั้ง

ณ วัดเส้าหลิน

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

เมื่อดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนขู่ปล่อยพลังออกไป ทันใดนั้นซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

“เจตจำนงดาบถูกกระตุ้น?”

ดวงตาของซูฉินมีแววขบคิด

ในดาบไม้ที่เขามอบให้เฉียนขู่ไป เต็มไปด้วยเจตจำนงดาบจากเคล็ดวิชาดาบแห่งธรรม

เจตจำนงภายในดาบไม้ด้ามนี้ถูกทิ้งไว้โดยซูฉิน ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันสักแค่ไหน เมื่อถูกกระตุ้นใช้งาน อย่างไรซูฉินก็ย่อมรู้สึกได้

“ตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิตเลยหรือ?”

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนไป เพียงคิดอยู่ในใจเงียบๆ

เฉพาะแค่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับพลังที่ไม่สามารถยับยั้งได้ มันจึงจะกระตุ้นเจตจำนงในดาบไม้ให้ออกมา

“วิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว…”

เมื่อซูฉินรู้สึกตัวก็กระซิบกับตนเอง

เจตจำนงดาบที่เขาทิ้งเอาไว้ในดาบไม้ สามารถฟาดฟันได้ทั้งหมดสามครั้ง ตอนนี้ซูฉินอยู่ในความรู้สึกโล่งใจหลังจากที่รู้ว่าเฉียนขู่น่าจะปลอดภัยดีในตอนนี้

มิฉะนั้นเจตจำนงดาบที่เหลืออยู่ในดาบไม้ ย่อมต้องฟาดฟันออกไปอีกสองครั้งตามพลังที่หลงเหลือ ไม่ใช่เงียบหายไปเช่นนี้

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท