Sign in Buddha’s palm 112 บทเพลงชีวิตหลังความตาย
“นี่คือสิ่งใด?!!”
หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าตกใจและรีบถอยหลังกลับ ในสายตาของนาง เจตจำนงดาบที่ไร้รูปร่างนี้เกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของทุกสิ่ง แม้แต่เทวรูปเทพจันทราภายในลัทธิบูชาจันทร์ที่อยู่มานานหลายพันปีก็ยังต้องหมองหม่นไปเมื่อเทียบกับพลังนี้
หวึ่ง!
ทันใดนั้นหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าก็เริ่มรู้สึกได้ถึงไอพลังที่ไม่สามารถบรรยายได้เข้ามาปกคลุม นางพยายามเผาผลาญแก่นแท้และเลือดเนื้อภายในตัวเพื่อยื้อชีวิตตนออกจากอันตราย
เพียงแต่ว่าทั้งหมดนั้นล้วนไม่มีประโยชน์
ประกายดาบจากบนท้องฟ้าเฉือนลงมาภายในพริบตา
เมื่อยามที่ประกายดาบฟาดฟันลงมาที่หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้า มันก็กลายเป็นประกายดาบขนาดเล็กจำนวนมหาศาลตัดเฉือนร่างหญิงสาวจนเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
เมื่อเห็นฉากนั้นหญิงชราผมขาวที่อยู่ด้านข้างหนังศีรษะชาจนแทบจะระเบิด การที่เฝ้าดูพระแม่ถูกเป่ากระจายเป็นชิ้นๆ ทำให้เธอขาแข้งอ่อนแรง ก้นของเธอแทบจะร่วงไปอยู่ที่พื้น
เมื่อร่างของหญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้ากระจายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ หนอนกู่ตัวสีทองเข้มก็ปรากฏตัวขึ้น
“จี๊ด!!!”
หนอนกู่สีทองเข้มตัวนั้นส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างดุร้าย ประกายดาบขนาดเล็กจำนวนมหาศาลเฉือนเข้าใส่จนมันกลายเป็นอากาศธาตุด้วยเช่นกัน
“นั่นมัน…หนอนกู่ของพระแม่?”
หญิงชราผมขาวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว ความกลัวที่ฝังอยู่ภายในใจลึกๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากจิตใจและเกาะกุมไปทั่วทั้งจิต
หนอนกู่เป็นแหล่งที่มาของศาสตร์คาถาทั้งมวลของอาณาจักรหนานจ้าว ทุกคนรวมไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญที่บูชาเทพจันทราจะต้องใช้คาถาและคำสาปของพวกเขาผ่านหนอนกู่
และหนอนกู่ที่อยู่ภายในร่างของหญิงสาวผ้าคลุมหน้าผู้นี้ ได้รับสืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว เป็นหนอนกู่ที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งภายในลัทธิบูชาจันทร์
เวลาที่ผ่านมานานหลายพันปีนี้ ลัทธิบูชาจันทร์เผชิญหน้ากับภัยร้ายมากมาย ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าหนอนกู่ตัวนี้จะอยู่มาทุกยุคทุกสมัย
ทว่าตอนนี้หญิงชราผมสีขาวได้เห็นกับตาว่าหนอนกู่ตัวสีทองและหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นอากาศธาตุ
พรึบ
หญิงชราผมขาวไม่สามารถพยุงตัวของตนได้อีกต่อไปกระแทกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าของนางคล้ำหมองราวกับขี้เถ้า หลับตาลงเพื่อรอความตายที่จะมาเยือน
หญิงชรานึกไม่ออกว่าเธอจะอยู่รอดได้อย่างไร ขนาดหนอนกู่ที่อยู่ยงคงกระพันมาทุกยุคทุกสมัยยังตายไป แล้ว ตัวเธอจะต่อต้านได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามเมื่อประกายดาบขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนได้เชือดเฉือนหนอนกู่สีทองไปแล้ว มันก็ไม่ได้ฟาดฟันใส่หญิงชราผมขาว แต่ส่วนใหญ่ได้สลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว มีเพียงประกายดาบขนาดเล็กอันหนึ่งที่กะพริบวูบวาบเข้าไปในร่างของหญิงชราผมขาว
จากนั้นไม่นาน
หญิงชราผมขาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ข้า…ข้ายังไม่ตายหรือ?”
หญิงชรารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
นางเห็นด้วยตาของตนเองว่าประกายดาบขนาดเล็กพวกนั้นแทบไม่ลดลงเลยหลังจากที่จัดการหนอนกู่สีทองไปแล้ว ความจริงเธอควรจะเป็นรายต่อไปที่ต้องตาย
“รอดแล้ว”
“ข้ายังมีชีวิตรอด”
หญิงชราผมขาวดีใจมาก แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงรอด แต่การรอดชีวิตมาได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
“รีบกลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า”
“ต้องไปบอกท่านผู้นำว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
ทันใดนั้นหญิงชราผมขาวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และหมุนตัวหนีไปในทันที นางต้องรีบกลับไปหนานจ้าวเพื่อสักการะลัทธิบูชาจันทร์ เมืองฉางอันนั้นอันตรายเกินไป ประกายดาบพวกนั้นสามารถขจัดทุกสิ่งได้ในทันที มีเพียงลัทธิบูชาจันทร์เท่านั้นที่จะช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง
…
“วิ่งไปสิ”
“วิ่งให้เร็วกว่านี้อีก”
ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลซู ดวงตาของซูฉินดูลึกล้ำราวกับเขาสามารถมองเห็นหญิงชราผมขาวที่กำลังหลบหนีอยู่
ลัทธิบูชาจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ถึงกับกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับตระกูลซู ดังนั้นพวกมันจึงต้องเตรียมพร้อมรับการเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของตัวตนระดับอรหันต์
เหตุผลที่ซูฉินไม่สังหารหญิงชราผมขาวก็เพราะต้องการใช้หญิงชราในการ ‘นำทาง‘ เพื่อหาตำแหน่งที่ตั้งของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าว
อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถึงแม้จะไม่ได้กว้างใหญ่เท่าอาณาจักรถัง แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนไปจนถึงหนึ่งเดือน ในการค้นหาพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างอาณาจักรหนานจ้าวทั้งหมดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
เวลาครึ่งเดือนไปจนถึงหนึ่งเดือนหมายความเช่นไร?
มันหมายถึงโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ที่มากถึงสิบห้าครั้ง หรืออาจจะถึงสามสิบครั้ง
ซูฉินมีอนาคตที่ไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปง่ายๆ แน่
ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงประทับตราประกายแสงแห่งดาบลงบนตัวของหญิงชราผมขาว แม้หญิงชราจะวิ่งหนีจนไปสุดขอบโลก ซูฉินก็สามารถรับรู้ตำแหน่งได้เพียงแค่คิดคำนึง
ด้วยวิธีนี้ เมื่อหญิงชราผมขาวกลับไปที่ฐานหลักของลัทธิบูชาจันทร์ ซูฉินก็สามารถใช้เวลาเพียงครึ่งวันเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือน
ในขณะที่ซูฉินอยู่ในห้วงสมาธิ
ทุกคนในตระกูลซูก็เดินออกมาจากคฤหาสน์เช่นกัน
“พี่สาม ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
ซูเยว่หยุนถามอย่างสงสัย
นางเพิ่งได้ยินว่าจี้หยกนั้นมีปัญหา แต่ซูฉินก็เดินออกไปด้านนอกทำให้เธอสับสนอยู่นาน
“ใช่ฉินน้อย เจ้าเพิ่งบอกว่าจี้หยกนี้มีปัญหา ว่าแต่ปัญหานั้นคืออะไร?” ซูเฉิงฮ่าวก็ถามขึ้นเช่นกัน
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
“ข้าแก้ไขมันเรียบร้อย”
ซูฉินเหลือบมองไปที่ตระกูลซูพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นจึงยื่นจี้หยกคืนให้กับซูเฉิงฮ่าว
ในขณะนี้คำสาปทั้งหมดในจี้หยกได้หายไปหมดแล้ว ตัวหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเองก็ตกตายสลายเป็นผุยผง
จี้หยกในตอนนี้กลายเป็นจี้หยกที่บริสุทธิ์แล้ว
“อา… แก้ไขแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูเฉิงฮ่าวและซูเยว่หยุนมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาตกตะลึง
พวกเขาไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในสิ่งที่ซูฉินพูด แต่ปัญหาได้รับการแก้ไขรวดเร็วเกินไปไหม?
“ช่างมันเถอะ”
“เดี๋ยวข้าจะเอาจี้หยกชิ้นนี้ไปขาย”
ซูเฉิงฮ่าวหยิบจี้หยกขึ้นพลิกดูไปมา ในที่สุดก็หมดความสนใจ
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ซูฉินและซูเยว่หยุนก็พร้อมที่จะกลับวัง
ที่ทางเข้าพระราชวังตะวันออก ซูฉินแยกทางกับซูเยว่หยุนเพราะต้องการเดินไปรอบๆ เสียหน่อย
“มนต์คาถานั้นมีความนัยบางอย่างอยู่”
ซูฉินเดินช้าๆ อยู่ภายในวัง ความคิดของเขาผันผวนไปมา
ด้วยจี้หยกเพียงชิ้นเดียว ซูฉินก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาว่า ‘มนต์คาถา‘ คือสิ่งใด
เมื่อเทียบกับการฝึกวิทยายุทธทั้งกำลังภายนอกและกำลังภายในแล้วนั้น ‘มนต์คาถา‘ มีแนวโน้มที่จะใช้สิ่งภายนอกเข้าช่วยมากกว่า
รากฐานของผู้ฝึกมนต์คาถาทุกคน ไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่อยู่ที่หนอนกู่ภายในร่าง
เมื่อหนอนกู่หายไป ผู้ฝึกมนต์คาถาจะลดระดับลงไปราวกับเป็นคนธรรมดา หรือแม้แต่ด้อยกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ
“น่าเสียดายที่มันต้องใช้พลังฉีและเลือดเนื้อ มันถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าตัวมันไม่สามารถเทียบชั้นกับพลังอื่นๆ”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย และไม่คิดที่จะคิดเรื่องราวนี้อีกต่อไป
สำหรับคนธรรมดา มนต์คาถาอาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้อย่างการสังหารผู้คนโดยที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ในสายตาของจอมยุทธที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและพลังชีวิต มนต์คาถานั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าของเด็กเล่น ขนาดผู้ฝึกยุทธเช่นซูเฉิงฮ่าว พระแม่อย่างเช่นหญิงคลุมหน้าผู้นั้นยังได้ใช้แก่นพลังชีวิตและเลือดเนื้อของตนเกินกว่าหนึ่งในสิบส่วนในการจัดการ แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธนั้นได้เปรียบมนต์คาถาอย่างชัดเจน
ซูฉินเดินไปถึงพระราชวังแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ซุ้มดนตรี?”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองไป
ซุ้มดนตรีเป็นสถานที่ที่นักดนตรีและผู้เชี่ยวชาญเครื่องเล่นดนตรีต่างๆ ภายในวังหลวงมาพำนักอาศัย พวกเขาเหล่านี้ล้วนเล่นดนตรีให้กับเชื้อพระวงศ์กันทั้งนั้น
“ลองลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ดีกว่า”
ทันใดนั้นซูฉินก็คิดขึ้นมาได้
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใด ย่อมต้องมีดนตรีอยู่ในหัวใจเป็นแน่แท้ มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางดนตรีก็ยาวนานมาก
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นมาในใจ
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ]