Sign in Buddha’s palm 118 พลังฉีแห่งมังกร
ศาลบรรพชนเป็นสถานที่สำหรับฝังร่างขององค์จักรพรรดิในราชวงศ์ถัง สง่างามและน่าเกรงขามยิ่ง
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินนิ่งคิดอยู่ภายในใจ แล้วจึงกล่าวคำอย่างเงียบๆ
แม้ว่าศาลบรรพชนของราชวงศ์ถังจะมีประวัติศาสตร์เพียงห้าร้อยหกร้อยปี แต่ยังมี ‘เต๋าสะสม‘ เก็บรวบรวมเอาไว้อยู่
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ปราณชีวิตมังกรแท้จริง‘]
เสียงจักรกลอันแสนเย็นชาดังขึ้นภายในหูของซูฉิน
“ปราณชีวิตมังกรแท้จริง?”
ซูฉินผงะไปชั่วขณะ
ในเวลาต่อมาข้อมูลของ ‘ปราณชีวิตมังกรแท้จริง‘ ก็เข้ามาในจิตของซูฉิน
“ปรากฏว่านี่คือปราณชีวิตมังกรแท้จริงหรือนี่?”
ซูฉินยกมือขวาขึ้น ไอพลังสีทองก็ไหลเวียนไปมาระหว่างนิ้วมือของเขา รัศมีแสงสีทองเหล่านี้รวมตัวกันและกระจายออกมา เผยให้เห็นภาพมังกรจางๆ
ปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นระบบกลไกการทำงานของพลังฉีที่พิเศษยิ่ง หากเก็บไว้ภายในร่างเป็นเวลานานจะส่งผลให้ระบบเลือดมีเสถียรภาพ ทั้งยังเพิ่มพลังฉีเพิ่มพลังเลือดเนื้ออีกด้วย
แม้แต่ในหมู่ของอรหันต์และตำนานยุทธก็ยังถือว่าปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นสมบัติที่หาได้ยาก
บางทีในช่วงเวลาสั้นๆ พลังฉีและเลือดเนื้ออาจจะไม่ได้ดีขึ้นมากนักด้วยปราณชีวิตมังกรแท้จริง แต่หากสะสมนับเดือนนับปีไปจนถึงหลายร้อยปี จะต้องเสริมศักยภาพจนเกิดความเปลี่ยนแปลงของพลังฉีและเลือดเนื้อในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
“ไม่เลว”
การแสดงออกของซูฉินนั้นดูค่อนข้างพอใจ
ในระดับของเขา สิ่งของภายนอกที่จะสามารถช่วยพัฒนาระดับนั้นยิ่งจะมีผลลดน้อยลงเรื่อยๆ และปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นหนึ่งในสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นที่ยังคงช่วยให้เขาพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ขึ้นได้
เหล่าอรหันต์หรือตำนานยุทธ กว่าจะใช้พลังของปราณชีวิตมังกรแท้จริงในการบ่มเพาะกายเนื้อจนสามารถยกระดับได้อย่างสมบูรณ์ก็กินเวลาไปกว่าสี่ร้อยถึงห้าร้อยปีแล้ว
แต่ซูฉินหาใช่อรหันต์ธรรมดาๆ ไม่
เขาอายุยืนเป็นสองเท่าของอรหันต์รูปอื่น นั่นคือหนึ่งพันปีเต็ม
ซูฉินพลันคิดคาดหวังขึ้นมาว่าหากปราณชีวิตมังกรแท้จริงได้หล่อเลี้ยงปราณฉีและเลือดเนื้อของเขาเป็นเวลาพันปี สิ่งใดจะเกิดขึ้น
…
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า
ในพริบตาเดียว หนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป
ปีนี้ ในที่สุดซูฉินก็ได้ลงชื่อเข้าใช้ทั่วทั้งวังหลวง
คล้ายกับที่วัดเส้าหลิน สถานที่ส่วนใหญ่ภายในวังหลวงไม่ได้มี ‘เต๋าสะสม‘ มากพอให้ลงชื่อเข้าใช้ได้เยอะนัก อาจจะลงชื่อได้ครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้งเท่านั้น
แต่ซูฉินก็ยังพบสถานที่มากกว่าสิบแห่งที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของซูฉินไปอย่างสิ้นเชิง
ต้องรู้ก่อนว่าขนาดวัดเส้าหลินที่เป็นวัดเก่าแก่หลายพันปี แต่ก็มีสถานที่เพียงสามแห่งเท่านั้นคือ ศาลาพระคัมภีร์ หอคอยสะกดมาร และลานโพธิ์ที่สามารถลงชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้
แต่ในวังหลวงมีสถานที่ให้ ‘เก็บเกี่ยว‘ ได้มากมายหลายครั้งถึงสิบแห่งเชียวหรือ?
สิ่งเหล่านี้ทำให้ซูฉินมีความสุขมาก
และอาจเป็นเพราะที่เมืองฉางอันแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่าสิบราชวงศ์ ประวัติศาสตร์นั้นยาวนานกว่าวัดเส้าหลิน สิ่งที่ซูฉินได้รับจากวังหลวงก็มีคุณภาพสูงกว่าที่วัดเส้าหลินถึงหนึ่งระดับ
ยกตัวอย่างเช่นหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติซึ่งสามารถยกระดับพลังของขอบเขตอรหันต์ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ของเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หาได้จากการลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลิน
แน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดก็ไม่ได้ดีกว่าไปเสียทุกอย่าง
สุดท้ายแล้วซูฉินก็ได้ลงชื่อรับเคล็ดวิชาอันทรงพลังอย่างฝ่ามือยูไลมาจากวัดเส้าหลิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิชาอื่นใดที่แข็งแกร่งเทียบเท่าวิชานี้
“ข้าเกือบจะทะลวงขั้นได้แล้ว และจะได้เข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่เสียที”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ
“ตอนที่ข้ายังอยู่วัดเส้าหลินข้าก็ได้บรรลุนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว และไม่ถึงหนึ่งปีตั้งแต่ที่ย้ายเข้าวังมาก็สำเร็จการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายครั้งที่สี่”
“หลังจากปรับตัวอยู่หนึ่งปีเต็ม ข้าเกรงว่าข้าคงอยู่ห่างจากขอบเขตนภาชั้นที่สี่อีกเพียงครึ่งก้าว สามารถกล่าวได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น…”
ดวงตาของซูฉินสว่างไสว
ซูฉินเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่อยู่ภายในวัดเส้าหลินมานานเกือบสามสิบปีแบบนี้
“คืนนี้ข้าต้องทะลวงผ่านไปให้ได้”
ซูฉินตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
จากนั้นซูฉินก็เดินออกจากตำหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินเยื้องย่างอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก
นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิถังเมื่อปีก่อน เพียงไม่นานองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ย้ายออกจากพระราชวังตะวันออกเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์และย้ายไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง
ส่วนซูเยว่หยุนน้องสาวของเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาและพำนักอยู่ที่พระราชวังคุนหนิง
ในช่วงเวลานี้เหล่าขุนนางต่างก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะปกติแล้วผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแห่งราชวงศ์ถัง มักจะต้องเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่ผู้มีบทบาทช่วยเหลือในการรักษาเสถียรภาพของราชสำนักได้ แต่ซูเยว่หยุนเป็นเพียงบุตรีของตระกูลชนบท หากให้พูดตามตรงแล้วการได้เป็นพระสนมก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นแล้ว
ส่วนการจะเป็นฮองเฮานั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
อย่างไรก็ตามจักรพรรดิถังพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยืนกรานที่จะยอมรับซูเยว่หยุนเป็นฮองเฮาและปฏิเสธที่จะยอมแพ้กับเรื่องนี้ ทำให้ขุนนางทั้งฝั่งพลเรือนและกองทัพของราชวงศ์ถังต่างก็ต้องยอมลงให้ แม้จะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม
สุดท้ายแล้วหลี่เชิงก็เป็นองค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครองอาณาจักรถัง อย่างมากที่สุดที่ข้าราชบริพารเหล่านี้จะทำได้ก็เพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น แต่หากองค์จักรพรรดิจะมิฟังก็ไม่มีใครทำอะไรได้
ในปีนี้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็ได้ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในปัจจุบัน มีความก้าวหน้ามากพอสมควรในการบริหารงานราชการ
เมื่อยามที่ซูฉินตรวจสอบพระราชวังถังทั้งหมดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขาก็บังเอิญพบว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่มักจะจัดการเรื่องราวภายในอาณาจักรถังจนถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว และกิจวัตรประจำวันของเขาก็สมถะเรียบง่ายอย่างมาก
โดยปกติแล้วจักรพรรดิที่เพิ่งขึ้นครองราชย์มักจะฟุ่มเฟือย แต่หลี่เชิงยังคงใช้สิ่งของทุกอย่างที่ถูกใช้ในรัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์เก่า แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย
ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจกับเรื่องนี้
ถ้าหลี่เชิงประพฤติตนได้ดีเช่นนี้ อาณาจักรถังก็ย่อมไม่มีปัญหาอันใดมากนัก เขาจะสามารถลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนต่อไปได้อย่างสบายใจ
ในขณะที่ซูฉินนึกเรื่องราวเหล่านี้อยู่ จู่ๆ หัวใจของเขาก็สั่นเตือน
เขาเห็นว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่นำขันทีติดตามมาด้วยสองสามคน กำลังเดินทางมาที่พระราชวังตะวันออก
“หืม?”
“กำลังมาที่นี่เพื่อมาหาข้างั้นหรือ?”
ซูฉินขมวดคิ้ว
ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่หลี่เชิงและซูเยว่หยุนย้ายออกจากพระราชวังตะวันออกไป พระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง มีคนเหลืออยู่ไม่มากนัก นอกจากซูฉินแล้วก็มีเพียงนางกำนัลกับขันทีอีกไม่กี่คนเท่านั้น
การที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงได้เดินมาทิศทางนี้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือการมาพบซูฉินนั่นเอง
ไม่นานนัก
จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็มาอยู่ที่ด้านนอกตำหนักชุนฝั่งขวา
“ฝ่าบาท ให้ข้ารับใช้ชราผู้นี้เข้าไปป่าวประกาศการมาถึงของพระองค์ดีหรือไม่?”
ขันทีที่อยู่ด้านข้างตัวเขาโค้งคำนับและถามคำถามออกมา
“ไม่จำเป็น” หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่ส่ายหัว เดินไปด้านหน้าสองสามเก้าแล้วจึงยกมือขึ้นโบกทักทาย “พี่สาม”
ซูฉินเดินออกไปโดยไม่รอช้า มองไปที่หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่
“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่กับพี่สามสักพัก” หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่ชำเลืองมองไปที่ขันทีทั้งหลายที่ติดตามตัวของเขามา
“ขอรับ”
เหล่าขันทีต่างกล่าวคำด้วยความเคารพ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
“พี่สาม ปีนี้ข้าเหมือนจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว” จักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้แต่บ่นขึ้นมาให้ซูฉินฟัง “เฒ่าชราจากกระทรวงมารยาทชาววังเฝ้าจับตาดูข้าทั้งวัน ทั้งยังหน่วยระเบียนราษฎร์อีกคน เขารู้จักแต่ขอเงินข้าทั้งวี่ทั้งวัน ข้าจะไปมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรเล่า…”
ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังสิ่งนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
ตลอดทั้งปีนี้ จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงมักจะมาหาซูฉินเพื่อสนทนาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับทุกข์ เล่าปัญหาบางอย่างที่เขาได้พบเจอ
ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำและเดินทอดน่องไปตามแนวไม้ข้างทาง
สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขา และแล้วท่าทีของจักรพรรดิหลี่เชิงก็ดีขึ้นมาก
แม้ว่าเขาจะเป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ในความเป็นจริง ยามที่มีอำนาจสูงสุดในฐานะจักรพรรดิ มันก็ต้องแบกรับความกดดันอันแสนหนักหน่วงด้วยเช่นกัน