เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 123 ความหวาดกลัว

ตอนที่ 123 ความหวาดกลัว

Sign in Buddha’s palm 123 ความหวาดกลัว

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

ไม่นานก็มาถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ หลี่เชิงกําลังยืนอยู่ในจัตุรัสหยกขาว ด้านข้างมีขั้นที่ชุดแดงจํานวนมากคอยคุ้มกันในกรณีที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาได้

“ฝ่าบาท สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป ข้าสามารถคุ้มกันฝ่าบาทออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆได้ แม้ว่าเยกู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวจะมาจริงๆ พวกเขาก็คงจะคุกคามฝ่าบาทไม่ได้”

หลิวกงกงมองขึ้นไปบนฟ้าและกระซิบกล่าวคํา

“ไม่จําเป็น”

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ส่ายหัว

จักรพรรดิต้องอยู่เพื่อปกป้องอาณาจักร

จักรพรรดิย่อมรั้งอยู่จนกว่าชีวีจะหาไม่

ถ้าเขาไม่สามารถปกป้องพระราชวังได้ จะสมเกียรติการเป็นจักรพรรดิได้เช่นไร

“เนื่องจากฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เฒ่าชราผู้นี้จะสิ้นชีพฝ่าบาทก็จะต้องปลอดภัยไร้กังวล”

หลิวกงกงกล่าวด้วยเสียงหุ้มหนักแน่น

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง

ดวงจันทร์อันสว่างไสวลอยสูงเด่นอยู่บนฟ้า ส่องแสงนวลตาออกมา

“มาแล้ว”

ในขณะนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองของวังหลวงต่างตกใจและมองไปยังที่แห่งหนึ่ง

เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดขาวชายเสื้อพลิ้วกระพือ ยืนสงบนิ่งราวกับเซียนเทพอยู่บนยอดพระราชวังสักแห่ง

เพียงแค่มองจากที่ไกลๆ แม่ทัพแห่งวังหลวงก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาแสบพร่าเล็กน้อย ราวกับมองไปยังดาบอันคมกริบที่สามารถเฉือนตัดได้ทุกสิ่งอย่าง

“เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่เฉิง”

แม่ทัพแห่งวังหลวงดูตกใจมาก

เขาไม่คิดว่าเยกู้เฉิงจะแข็งแกร่งปานนี้ เพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นตนไม่สามารถจ้องมองไปตรงๆได้

“อย่าเพิ่งตกใจไป”

“เมื่อทั้งคู่มาถึง พวกเขาถึงจะเริ่มลงมือต่อสู้กัน”

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตนก่อนจะกล่าวคําอย่างช้าๆ

“ขอรับ”

แม่ทัพแห่งวังหลวงกล่าวคําแผ่วเบา

หลังจากนั้นไม่นาน

ซีเหมินชุยเฉวก็ปรากฏตัวบนยอดพระราชวังแห่งหนึ่งโดยที่หันหน้าไปทางเย่รู้เฉิงที่อยู่ไกลออกไป

“เจ้ามาสายนะ”

เย่กู้เฉิงมองไปทางซีเหมินชุยเฉวและพูดขึ้นเบาๆ

เมื่อพวกเขามาถึงขอบเขตในปัจจุบันนี้ พวกเขาย่อมมีความเข้าใจในตนเองและโลกภายนอกตนเองอยู่อย่างถึงที่สุด

“ก็ใช่”

“ข้ามาสายไปซะแล้ว”

ซีเหมินชุยเฉวยอมรับออกมาตรงๆ

“สองปีก่อน มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดตกตายอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อยู่ที่นี่เสียอีก…”

ดวงตาของซีเหมินชุยเฉวกวาดส่ายไปมามองดูทั่วทั้งพระราชวังดังอย่างใจเย็น

“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มี…”

ซีเหมินชุยเฉวส่ายหัวเล็กน้อย

เขาหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งกระบีตั้งแต่เด็ก จิตใจของเขาราวกับคมกระบี่ สามารถรับรู้วิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นรอบๆ ตัวได้

จิตใจแห่งกระบี่อันนี้ช่วยให้เขาผ่านพ้นอันตรายมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนี้

ซีเหมินชุยเฉวได้มายืนอยู่ภายในพระราชวังโดยที่จิตใจแห่งกระบี่ยังคงสงบนิ่ง ไม่แจ้งเตือนถึงวิกฤตอันตรายใดๆ

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อยู่จริง ในวังหลวง จิตใจแห่งกระบี่ของเขาคงจะรู้สึกอะไรได้บ้างแล้วในตอนนี้

ยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดย่อมต้องทรงพลังอย่าง แน่นอน แต่ตราบใดที่มันไม่ได้เกินขอบเขตของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นก็ไม่มีทางจะหลีกหนีความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตใจแห่งกระบี่ไปได้

“เอาล่ะ”

“ที่นี่ไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์”

เมื่อพูดแบบนั้น เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงก็ก้มศีรษะลงชําเลืองมองดูด้านล่างแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าก่อนที่เราจะแลกเปลี่ยนชี้แนะวิถีแห่งกระบี่กัน เราคงต้องจัดการพวกมดปลวกกันก่อน…”

ด้วยสายตาของเย่กู้เฉิง เขาได้ค้นพบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายคนที่ซุ่มซ่อนเตรียมโจมตีอยู่ในวังตั้งแต่แรก

“แน่นอน”

“ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน”

ซีเหมินชุยเฉวพยักหน้า

แม้ว่าเขาจะหมกมุ่นอยู่แต่กับการฝึกกระบี่ ไม่สนใจเรื่องอื่นยกเว้นเรื่องกระบี่ แต่เขาก็หาใช่คนโง่ไม่เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมให้คนอื่นฉวยโอกาส

ครั้งนี้ ตัวเขาและเย่กู้เฉิงจะแลกเปลี่ยนวิถีกระบี่เพื่อพิสูจน์ฝีมือในท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมีใครรอดชีวิตไปได้แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

หากในเวลานั้นยังถูกล้อมไปด้วยกลุ่มของยอดปรมาจารย์ ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นนี้ เกรงว่าไม่แคล้วจะตกตายเอาได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ลุยเลย”

ทันใดนั้นกระบี่เล่มยาวที่อยู่ด้านหลังเย่กู้เฉิงก็ส่งเสียงออกมา จากนั้นประกายกระบี่อันแสนน่ากลัวก็รวมพลังกันฟาดฟันออกไปทางจัตุรัสหยกขาว

“ไม่ดีแล้ว!!”

แม่ทัพแห่งวังหลวงก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบพาองค์จักรพรรดิหลี่เชิงถอยหนีไปยังทิศทางหนึ่ง

เช่นเดียวกับยอดปรมาจารย์คนอื่นๆ ต่อหน้าประกายกระบีที่เย่กู้เฉิงฟาดฟันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจอะไรนัก พวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย

“ช่องว่างระหว่างฝีมือมันใหญ่เกินไป”

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ในสายตาของเขาเจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงกับยอดฝีมืออีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนพระราชวังนั้นอยู่อีกระดับอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่ว่าหลี่เชิงไม่เคยเห็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดลงมือมาก่อน ก่อนที่องค์จักรพรรดิถังพระองค์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ เขาก็เคยเห็นพลังของจ้าวกงกงมาบ้าง

แต่เมื่อเทียบกับจ้าวกงกง เจ้าเมืองไปหยุนที่อยู่เบื้องหน้า ช่างดูน่ากลัวกว่ากันมาก

“สั่งเคลื่อนพลกองทัพให้เข้ามาในเมือง”

“แล้วยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทุกคน จงเริ่มจัดวางค่ายกลได้”

จักรพรรดิพระองค์ใหม่สุดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อน จะออกคําสั่งอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นเย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวก็ต้องก้าวเดินไปในเส้นทางปกติของมนุษย์ หากยังไม่ถึงขั้นตํานานยุทธยังไงก็ยังใช้กลยุทธ์ในการเข้าต่อกรได้อยู่

นี่คือความเชื่อมั่นสุดท้ายที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยึดถือเอาไว้

และในตอนนั้น

เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยทําราวกับว่า เมื่อครู่เขาไม่ได้ฟาดดาบของตนออกไปใส่ยอดปรมาจารย์ด้านล่าง

“พี่ชายเย่ ดูเหมือนพระราชวังถึงยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากมาย…”

เมื่อเสียงของซีเหมินชุยเฉว่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามค่อยๆลดลง

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนยืนประจําตําแหน่ง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงที่ยืนได้ตลอดเวลา กลายเป็นเหมือนอวนตาข่ายขนาดใหญ่ที่ล้อมจับเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุนเฉว่

นี่เป็นแผนขั้นต้นของจักรพรรดิพระองค์ใหม่หลี่เชิง

เขาไม่ได้คิดว่ายอดปรมาจารย์หลายสิบคนนี้ จะต่อกรกับเย่กู้เฉินและซีเหมินชุยเฉวได้ เขาเพียงต้องการล้อมจับทั้งสองคนไว้ จนกว่ากองทัพจะเคลื่อนพลเข้ามาภายในเมืองได้

“เบื้องหลัง?”

เจ้าเมืองไปหยุนอย่างเย่กู้เฉิงยกยิ้มดูถูก ค่อยๆดึงกระบี่เล่มยาวที่อยู่ด้านหลังออกมาอีกครั้ง

“ด้วยกระบี่ของข้า จะเฉือนตัดทุกสิ่งให้ขาดวิ่น”

ในเวลาต่อมา

ซึ้ง!

ประกายกระบี่ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านับสิบเท่า ควบแน่นออกมากลายเป็นเจตจํานงกระบี่อันน่าสะพรึง ครอบคลุมไปทุกทิศทาง

ในเวลาเดียวกัน

ตําหนักชุนฝั่งขวา

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

“หลังจากบ่มเพาะมาหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็พัฒนาขึ้นมานิดหน่อย…”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ในทันทีหลังจากนั้น

ซูฉินดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปยังจัตุรัสหยกขาว

“พวกเจ้ากล้ามาจริงๆ หรือนี่?”

ซูฉินส่ายหัว

เขาจมอยู่กับการฝึกฝนโดยไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก

“ในเมื่อมาอยู่กันเสียที่นี่แล้ว”

“ก็จงอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยก็แล้วกัน”

ซุฉินไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน เพียงสะบัดมือขวาและปล่อยประกายดาบออกไป มันพุ่งตรงไปยังจัตุรัสหยกขาว

ณ จัตุรัสหยกขาว

ขณะที่เจ้าเมืองไปหยุนเย่กู้เฉิงดึงกระบี่ออกมาจากด้านหลัง จัตุรัสหยกขาวก็รายล้อมไปด้วยพลังอันรุนแรง

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายที่เพิ่งเคลื่อนไหว ตามค่ายกลพลันรู้สึกว่าปวดหัวจนแทบระเบิด ไม่สามารถเคลื่อนตัวตามรูปแบบค่ายกลได้

“มันจบแล้ว”

จักรพรรดิพระองค์ใหม่คิดอยู่ในใจ

ประกายกระบี่ของเจ้าเมืองไปหยุนล้อมรอบจัตุรัสหยกขาวเอาไว้หมด ซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วย

แผนการของจักรพรรดิหลี่เชิงคือให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายเคลื่อนไหวตามรูปแบบค่ายกลเพื่อลากถ่วงเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่จนกว่ากองทัพจะเข้ามาสังหารพวกเขา

แต่ไม่คาดคิดว่าก่อนที่กองทัพจะเคลื่อนพลเข้ามาในเมือง ได้ พวกเขากลับไม่สามารถผืนเพื่อรอการสนับสนุนได้อีก

“เฉือนให้เหี้ยน!”

เจ้าเมืองไปหยุนอย่างเยู่กู้เฉิงเหวี่ยงสะบัดกระบี่ของเขาอย่างเชื่องช้า บรรจงฟันลงไป

ทันใดนั้น

ขณะนั้นเอง

เจ้าเมืองไป๋หยุนดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างและ มองไปยังส่วนลึกภายในวัง

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเยู่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุน เหมือนจะได้เห็นฉากที่เขาจะต้องจดจําไปชั่วชีวิต

เห็นเป็นประกายแสงดาบพุ่งออกมาจากอากาศด้วยความเร็วสูง

ในขณะที่ประกายดาบอันนี้ปรากฏขึ้น เจ้าเมืองไปหยุนก็รู้สึกว่าพลังฟ้าดินเริ่มบิดเบี้ยว มิอาจแยกสิ่งใดเท็จสิ่งใดจริงได้อีกต่อไป

และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับกายเนื้อ กําลังภายในและพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาเองเช่นกัน

มีเพียงแค่ความกลัวเท่านั้นที่เหลืออยู่เมื่อต้องเผชิญหน้า กับประกายดาบที่ทั้งบริสุทธิ์และรุนแรงถึงเพียงนี้

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท