เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 176 สองทางเลือก

ตอนที่ 176 สองทางเลือก

Sign in Buddha’s palm 176 สองทางเลือก

ภายในพระราชวังคุนหนิง

ทุกคนในตระกูลซูจ้องมองซูฉินอย่างเคร่งเครียด

แม้แต่จักรพรรดิถังเองก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขาไม่รู้ว่า “ทางเลือก” ของซูฉินที่ว่านั้นเกี่ยวกับอะไร และจะมีผลกระทบต่ออาณาจักรถังทั้งหมดรวมถึงทั่วทั้งทวีปหรือไม่?

ถ้าซูฉินยังเป็นพี่สามดังเดิม จักรพรรดิถังย่อมไม่เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นในหัว แต่เวลานี้ซูฉินเป็นถึงอรหันต์ ตัวตนระดับเดียวกับตํานานยุทธ การกระทําหรือเพียงความคิดของตัวตนเช่นนี้สามารถสั่นคลอนโลกได้ทั้งใบ

“หนึ่ง หล่อเลี้ยงเติมชีวิต ข้าสามารถทําให้พวกเจ้าอยู่อย่างปลอดภัยมีชีวิตที่มั่นคง และอายุขัยอย่างน้อยก็ร้อยห้าสิบปี”

ซูฉินกวาดตามองทุกคนแล้วกล่าวคําเบาๆ

“อายุขัยหนึ่งร้อยห้าสิบปี?”

ซูชื่อหมินเบิกตากว้างอย่างมิอยากจะเชื่อ สองพี่น้องตระกูลซูอย่างซูเฉิงย่าวและซูเฉิงยู่ก็มีอาการเช่นเดียวกัน

รู้หรือไม่ผู้ฝึกยุทธบนโลกใบนี้สามารถยืดอายุขัยของตนเองออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหากเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน

แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถมีอายุขัยมากกว่าร้อยห้าสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้น

แม้ว่าอายุขัยสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะอยู่ที่สองร้อยปี แต่อายุขัยสูงสุดก็เป็นแค่อายุขัยสูงสุด อันที่จริง มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนไม่มากนัก ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ถึงอายุขัยสูงสุดดังที่กล่าวมาได้

อายุขัยของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งส่วนใหญ่จะเกินร้อยห้าสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้น

ซูฉินสามารถทําให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปี ซึ่งเทียบเท่ากับการต่ออายุขัยของทุกคนให้อยู่ในระดับเดียวกันกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง วิธีที่ว่านั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังเอง

ปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรถังเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็ยังไม่สามารถกระทําได้

“ พี่สาม นี่เป็นเรื่องจริงนั้นหรือ?”

จักรพรรดิถังถามด้วยน้ําเสียงที่สั่นเครือ

ชีวิตในฐานะจักรพรรดิถังนั้นก็คงจะอยู่ได้ไม่นานนัก หลี่เชิงเองก็เตรียมใจสําหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่บัดนี้เขากลับได้ยินว่ามีวิธีที่ช่วยยืดอายุขัยออกไปได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปี เขาจะสงบจิตสงบใจต่อไปได้อย่างไร?

“ย่อมเป็นความจริง” ซูฉินพยักหน้า

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาที่ถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าทุกคนจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี แต่สําหรับร้อยห้าสิบปีนั้นง่ายมาก

ซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ ทั้งสามคนปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า ใครบ้างไม่อยากมีชีวิตที่ยืนยาวและเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆในโลกให้มากกว่านี้? แม้ว่าจอมยุทธทั้งหลายจะอุทิศชีวิตให้กับการฝึกยุทธ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

มีเพียงซูเยวหยุนเท่านั้นที่มองไปยังซูฉินแล้วกระซิบถาม

“พี่สาม แล้วตัวเลือกที่สองคือสิ่งใดกัน?”

ขณะที่เสียงของซูเยว่หยุนเงียบลงไป

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก็ตื่นตัวขึ้นในทันใด

ใช่สิ

ซูฉินบอกว่ามันคือทางเลือก และเพราะว่ามันเป็นทางเลือก มันก็ต้องมีมากกว่าหนึ่งอย่าง

เมื่อคิดได้ดังนี้ทุกคนก็มองกลับไปที่ซูฉินอีกครั้ง

“มิผิด”

“เหลืออีกหนึ่งอย่าง”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวคําช้าๆ “ข้าสามารถทําให้พวกเจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ และอย่างน้อยก็สามารถเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ส่วนเรื่องการเป็นตํานานยุทธนั้นก็อาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แม้แสงแห่งความหวังนั้นมันจะริบหรี่มากก็ตาม”

คําที่กล่าวออกมา

ทั่วทั้งพระราชวังคุนหนิงเงียบสนิท ทุกคนมองซูฉินด้วยความตกใจ

อย่างน้อยก็เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?

เป็นไปได้เยี่ยงไร?

ต้องรู้ก่อนว่านับตั้งแต่ที่อาณาจักรถังก่อตั้งขึ้นมากว่าห้าร้อยปี ยกเว้นก็แต่ปฐมจักรพรรดิ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่เคยกําเนิดขึ้นมาก่อน

แต่ในขณะนี้ซูฉินรับประกันว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ แม้แต่ขอบเขตตํานานยุทธก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นี่มันเป็นเรื่องที่เกินจะเชื่อ

“ข้าอายุก็เกือบเจ็ดสิบปีแล้ว ปราณชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยลงมาก เช่นนี้ยังจะสามารถไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งงั้นหรือ?” ซูชื่อหมินพูดขึ้นมาหลังจากผ่านไประยะหนึ่งด้วยร่างที่สั่นเทา

ไม่ใช่ว่าชูชื่อหมินไม่เชื่อในตัวซูฉิน แต่สิ่งที่ซูฉินบอกมามันน่าเหลือเชื่อเกินไป

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ได้”

“ทว่าตอนนี้”

เมื่อซูฉินกล่าวคําต่อไปนี้ ร่องรอยแห่งความหมายอันลึกซึ้งก็ฉายออกมาผ่านดวงตา “ฟ้าดินกําลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”

ในการฝึกยุทธ หากต้องการจะกลายเป็นจอมยุทธผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็ต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่วัยเด็ก ขัดเกลาตัวเองทั้งกลางวันกลางคืน ฝึกฝนผ่านร้อนผ่านหนาว และได้รับคําแนะนําจากอาจารย์ หาวิธีฝึกฝนที่เหมาะสมกับตนเอง ในท้ายที่สุดหลังจากฝึกฝนนานหลายสิบปีก็อาจจะแตะขอบธรณีประตูของขอบเขตสามระดับบนได้

แต่นี่ก็เป็นขีดจํากัดของจอมยุทธส่วนใหญ่

การที่จะเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนได้นั้น โอกาส ความเข้าใจ สิ่งที่ถนัด และพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

นี่คือเหตุผลที่ซูฉินไม่ได้ต้องการจะชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูลชูตั้งแต่ที่แรก

เพราะมันไม่คุ้มค่า

แม้ว่าตระกูลซูจะทุ่มเทอย่างหนักหน่วง ละทิ้งความเพลินเพลินใจทั้งหมดและทุ่มเทกายใจทั้งหมดเพื่อการฝึกฝนอย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงอยู่เพียงขอบเขตสามระดับบน และอาจจะก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ด้วยความช่วยเหลือจากซูฉิน

แต่แล้วอย่างไรเล่า?

สุดท้ายก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น

ในกรณีนี้ทําไมไม่เลือกทางแรก เลิกฝึกวิทยายุทธ ไปสนใจสิ่งที่ตนชื่นชอบ จากนั้นซูฉินจะเป็นคนที่ช่วยยืดอายุขัยให้พวกเขาเอง และจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป

นี่เป็นความคิดแรกของซูฉิน

แทนที่จะฝึกฝนอย่างหนักตลอดชีวิตแล้วสามารถอยู่ได้นานกว่าหนึ่งร้อยปี จะดีกว่าไหมที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปด้วยและมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าหนึ่งร้อยปีไปด้วย

แต่ความคิดของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อกระแสปราณฉีกําลังจะกลับมา

ปราณี พลังฟ้าดิน ก็เปรียบเสมือนกระแสน้ําขึ้นน้ําลง

ซึ่งในยุคนี้ปราณฉีกําลังค่อยๆฟื้นตัวกลับมา

การฟื้นกลับมาของปราณฉีไม่ได้ทําให้พลังฟ้าดินค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมทั้งหมดใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ทําให้ง่ายต่อการฝึกฝนบ่มเพาะ

แน่นอนว่าบ่มเพาะง่ายดายกว่าเมื่อก่อนมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่าในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทั้งความเร็วของการฝึกฝน รวมถึงปัญหาเรื่องคอขวดก็จะฟันฝ่าไปได้ง่ายดายมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น ซูฉินในยุคก่อนที่ปราณญี่จะฟื้นคืน ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สี่สิบถึงห้าสิบปีถึงจะสําเร็จขั้นนภาชั้นที่เจ็ด แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่สองปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตามที่ซูฉินทะลวงขั้นได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่เพียงเพราะปราณีที่ฟื้นกลับคืนมา แต่เพราะเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปในขณะนี้ ด้วยร่างกายที่มีพลังในระดับสูงที่สุด ภายใต้การฟื้นคืนของปราณฉีจึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเขา

แม้ว่าคนอื่นจะยังตามซูฉินไม่ทัน แต่ก็ยังได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน

หากการที่ตระกูลซูกลับมาสู่เส้นทางผู้ฝึกยุทธ ในช่วงที่ปราณฉีฟื้นกลับมา ควบคู่ไปกับการชี้แนะจากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดอย่างซูฉิน ด้วยพลังฉีฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ก็พอจะมีแสงริบหรี่แห่งความหวัง ที่จะก้าวเข้าสู่ตํานานยุทธได้

แน่นอนว่าเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่จริงๆ

“พี่สาม ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ เรื่องที่ฟ้าดินได้เปลี่ยนแปลงไป?” ซูเยวหยุนสงบใจลง แล้วมองไปที่ซูฉินด้วยความประหม่า

คนอื่นๆก็เฝ้าดูอย่างตั้งใจจนถึงกับกลั้นหายใจ

พวกเขาทั้งหมดเป็นคนฉลาดและตระหนักดีถึงความหมายที่น่าสะพรึงกลัวเบื้องหลังคําพูดของซูฉิน

ในอดีตเส้นทางในการฝึกยุทธของพวกเขามาถึงทางตันแล้ว

แต่ตอนนี้กลับเป็นไปได้

เหตุผลก็คือ “ฟ้าดินกําลังเปลี่ยนแปลงไป” ที่มาจากปากของซูฉิน

และการเปลี่ยนแปลงระดับใดกันที่สามารถทําให้เกิดผลกระทบดังที่กล่าวมาได้?

“อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้เลย”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

คําอธิบายเรื่องการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นซับซ้อนจนเกินไป และถึงแม้ซูฉินจะอธิบายตระกูลซูจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่อาจแน่ใจได้

่ ่

“เอาล่ะ บอกสิ่งที่พวกเจ้าเลือกมาสิ”

ซูฉินกวาดตามองดูทุกคนแล้วกล่าวคําอย่างช้าๆ

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท