Sign in Buddha’s palm 199 (II) บดขยี้
ครืด
ปรากฏวงสีดําสนิทฉีกกระชากจนเหมือนเป็นรอยแยกบนท้องฟ้า
หลังจากฆ่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตด้วยการผ่าออกเป็นสองส่วน เขาก็ไม่มีความลังเลใจแต่อย่างใด สาวเท้าก้าวข้ามผ่านร่างของชายชุดดําผู้เย็นชาไป
“และเจ้า”
ซูฉินหันเหสายตาไปทางชายชุดเขียวที่ถือดาบยาวในมือ
“ตาย”
ซูฉินกําด้ามมีดเทพเจ้าปีศาจไว้แน่น ก่อนจะสับลงตามใจต้องการ
“อาอาอาอา!”
“หมื่นดาบคืนซ่ง!!”
ชายชุดคลุมเขียวที่กําลังถือดาบอยู่กลายเป็นคลุ้มคลั่งในทันที เห็นตํานานยุทธถึงสามคนตกตายติดต่อกันต่อหน้าต่อตาตนเอง และโดยไม่ทันรู้ตัว ก็มาถึงตาของตนเสียแล้ว
ดาบยาวที่ชายชุดเขียวถืออยู่จู่ๆ ก็ระเบิดพลังออกมาเป็นแสงอันเจิดจ้า ส่องประกายจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด
แทบจะในทันที ประกายแสงดาบจํานวนนับไม่ถ้วนก็แยกกระจายออกมาล้อมรอบร่างของมัน
“วิถีแห่งดาบนั้นไม่เลว แต่น่าเสียดาย ที่มันยังไม่เพียงพอ” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
เพล้ง
คมมีดสีดําสนิทดุจหมึก ปนประกายแสงทั้งหลายออกในทันที ตัดดาบยาวที่ชายชุดเขียวชักออกมาหักเป็นสองซีก จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าตัดร่างชายในชุดเขียวไปด้วย
ผู้ชมโดยรอบถึงกับเงียบกริบ
สีหน้าทุกคนต่างให้ความรู้สึกว่าฉากตรงหน้าช่างน่าสยดสยอง
พวกเขาไม่เคยคิดฝันว่าเหล่าตํานานยุทธผู้ทรงพลังไร้เทียมทาน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน ก็เหมือนกับไก่ที่กําลังโดนเชือด
“พี่สาม พี่สามแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…” จักรพรรดิถังตกตะลึงเช่นเดียวกัน
หากจะกล่าวถึงชายท่าทางดุดันที่ตกตายไปเป็นคนแรก อาจมองได้ว่าเกิดจากการฉวยโอกาส “ลอบจู่โจม” แต่หลังจากนั้นซูฉินก็ยังสังหารตํานานยุทธต่อเนื่องไปอีกสามศพ
ขณะที่ทุกคนกําลังตกใจ
การแสดงออกของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาจึงค่อยๆ มองไปที่ปิงหลิงเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ
“เจ้ายังมีความกล้าที่จะยืนอยู่ที่นี่อีกหรือ?” ซูฉินมองปิงหลิงด้วยความสนใจ
เมื่อครู่ แม้เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะจะหวาดกลัวจนหน้าซีดดุจเดียวกัน แต่นางก็ไม่ได้รีบหนีไปเฉกเช่นบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิต
“ท่านผู้แข็งแกร่งช่างน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าข้าจะหนีไปก็คงหนีมิพ้น”
ปิงหลิง เทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะสูดหายใจเข้า ก่อนจะกล่าวคําด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“ให้ข้าเดา เหตุผลที่เจ้าไม่หนีไป ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เกรงกลัวความตาย แต่เพราะเจ้ามีไฟลับที่อาจารย์ของเจ้ามอบเอาไว้ให้เสียมากกว่า?”
ซูฉินไม่เชื่อคํากล่าวที่ว่า เพราะหนีไม่ได้ จึงไม่หนี”
แม้แต่มดยังรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายใหญ่?
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
สีหน้าของปิงหลิงเปลี่ยนไปมาก
นางมีสิ่งของสําหรับปกป้องชีวิตที่บรรพบุรุษในตําหนักเทพเจ้าหิมะได้มอบไว้ให้
สิ่งที่ต้องจ่ายออกในการใช้เครื่องช่วยชีวิตนี้ช่างมากมายเกินไปจริงๆ ปิงหลิงต้องละทิ้งร่างกายของตน และแปรเปลี่ยนเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะสามารถหลบหนีออกไปไกลหลายพันได้อย่างรวดเร็ว
ครานั้น บรรพบุรุษตําหนักเทพเจ้าหิมะจึงเตือนปิงหลิงเอาไว้ว่าไม่ควรใช้ไฟลับนี้ ยกเว้นจะอยู่ในช่วงที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต เพราะการสูญเสียร่างกายย่อมก่อผลกระทบที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ต่อผู้ฝึกยุทธ
แม้ว่าร่างกายใหม่จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาสําเร็จ แต่ปัญหาในเรื่องการรักษาสภาวะสมดุลระหว่างกายใจจะทําให้ความสําเร็จในอนาคตถูกจํากัด ในกรณีร้ายแรงอาจถึงขึ้นที่ระดับพลังลดลงไปหลายระดับขั้น
อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษยังกล่าวอีกว่า ตราบใดที่ใช้ไฟลับนี้ จะไม่มีใครบนโลกที่จะหยุดยั้งนางได้
นี่เป็นความมั่นใจที่ทําให้ปิงหลิงยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่
นางไม่เหมือนกับคนอื่นที่ถ้าไม่หนีก็คงตกตาย แต่ตัวนางนั้นมีทางเลือก ถ้าเรื่องราวมันร้ายแรงจริงๆ นางก็จะใช้ไฟลับนั้นในการช่วยชีวิตตนเอง
สูญเสียร่างกายไปดีกว่าตกตายอย่างสมบูรณ์
“ท่านนั้นทรงพลังดุจท้องฟ้ากว้าง ปิงหลิงผู้นี้ขอจากลาไปก่อน หวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้พบพานกับท่านอีก”
เทพธิดาคนปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นความมั่นใจในดวงตาของซูฉินยามที่มองมาที่ตัวนางได้อย่างรวดเร็ว และไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ รีบกระตุ้นไอพลังบางอย่างภายในร่าง
ทันใดนั้น
ปิงหลิงก็รู้สึกเพียงว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางได้รับการยกระดับอย่างมหาศาล จึงรวมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตน หลบหนีออกจากร่าง พุ่งกลับไปยังต่างดินแดนด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“รวดเร็วจริงๆ”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แสดงความคิดเห็น
แม้แต่ตัวเขาเอง ถ้าเทียบกันในแง่ของความเร็วก็เทียบไม่ได้กับวิธีการละทิ้งร่างกายจนเหลือแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
“แต่ก็เท่านั้น”
“ในอาณาเขตของข้า เจ้ายังคิดว่าจะหลบหนีได้อีกหรือ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ความคิดสั่งการพลังที่มองไม่เห็นก็แผ่พุ่งออกไป
“บรรพบุรุษบอกว่าตราบใดที่ตราสัญลักษณ์ถูกกระต้นจนละทิ้งร่างออกมาได้สําเร็จ แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหรือระดับนภาชั้นที่แปดก็ไม่สามารถติดตามข้าได้ทัน”
ความคิดของปิงหลิงเปลี่ยนผันไปมา และรู้สึกว่าตนเองปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว
“เมื่อข้าได้กลับไปที่ตําหนักเทพเจ้าหิมะ ข้าจะแจ้งผู้อาวุโสให้มาแก้แค้นให้ข้า”
ปิงหลิงยังคิดเรื่องนี้ไม่ทันจบ ก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
เพราะตัวนางหนีออกมานานแล้ว แต่เหตุใดยังคงอยู่ภายในวัง
“นี่คือ?”
ปิงหลิงสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่ามีแรงที่มองไม่เห็นได้ห้อมล้อมนางเอาไว้ ภายใต้พลังอํานาจนี้ มิติตรงหน้าราวกับทางยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดแม้จะเป็นระยะทางเพียงแค่เอื้อมมือก็ตาม
“อาณาเ…”
จู่ๆ ปิงหลิงก็นึกถึงบันทึกบางเล่มภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ คลื่นลมพลันก่อตัวขึ้นในใจนาง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ปิงหลิงจะได้กล่าวคําออกมาจนจบรอบข้างก็กลายเป็นมืดมิด ความคิดดับวูบตกลงสู่ความดํามืดอันไร้ที่สิ้นสุด